การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และยุคแห่งการสำรวจ
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และยุคแห่งการสำรวจ
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ยุโรปและโลก |
แผนที่การเดินเรือสำรวจ ค.ศ. 1492 - 1611 |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ยุโรปและโลก |
ประวัติความเป็นมาของความคิดทางวิทยาศาสตร์
ระหว่าง 600 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และคริสต์ศักราช 200 นักวิทยาศาสตร์กรีกได้พัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีการทำงานในโลกมากมาย พวกเขาเชื่อในทฤษฎีที่เรียกว่าเหตุผลนิยม (Rationalism) ซึ่งผู้คนใช้เหตุผลหรือความคิดเชิงตรรกะเพื่อเข้าใจโลก
จักรวาลที่มีโลกเป็นจุดศูนย์กลาง นักปรัชญากรีก ชื่อ อริสโตเติล (Aristotle) ผู้มีชีวิตอยู่ตั้งแต่ 384-322 ก่อนคริสต์ศักราช ถือว่าเป็นหนึ่งในนักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกยุคทุกสมัย เขาได้ศึกษาดาวและดาวเคราะห์ในแนวทางที่มีเหตุผล การศึกษาของเขานำไปสู่การปรับปรุงและเผยแพร่ทฤษฎีที่มีโลกเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล (Geocentric Theory) ทฤษฎีนี้ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาในโลกยุคโบราณ วางโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ในทฤษฎีของอริสโตเติล ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ทั้งหมดโคจรเป็นวงกลมรอบโลกอย่างแท้จริง
ประมาณ 500 ปีต่อมา การทำงานของนักดาราศาสตร์ชื่อปโตเลมี (Ptolemy - TAHL•uh• mee) เห็นด้วยกับทัศนะของอริสโตเติลและเผยแพร่แนวคิดนั้น ปโตเลมีอ้างว่าดวงจันทร์และดาวเคราะห์หมุนรอบตัวเองเป็นวงโคจรเล็ก ๆ ในขณะที่โคจรหมุนรอบตัวเอง ก็ยังหมุนรอบโลกเป็นวงโคจรใหญ่ ทัศนะของอริสโตเติลและปโตเลมีเกี่ยวกับจักรวาลพิสูจน์แล้วว่าผิด แม้กระนั้นก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ยอมรับทัศนะของพวกเขาเป็นเวลาถึง 1,400 ปี ต่อไป ก่อน ค.ศ. 1500 นักวิชาการยุโรปสองสามคนท้าทายความคิดทางวิทยาศาสตร์และทัศนะของนักคิดโบราณโดยการสังเกตธรรมชาติอย่างรอบคอบด้วยตัวเอง
ภาพแกะสลักอธิบายแนวความคิดลูกเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล ทำขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 |
คณิตศาสตร์และการแพทย์กรีก ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราชใน นักวิชาการกรีกชื่อพีทาโกรัส (Pythagoras - pih•THAG•uhr•uhs) พยายามอธิบายจักรวาลในแง่คณิตศาสตร์ ในทัศนะของเขา ทุกสิ่งผสมผสานกลมกลืนกันในทางที่สอดคล้องกันในการก่อรูปเป็นจักรวาล แนวความคิดที่สรรพสิ่งผสมผสานกลมกลืนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อรูปเป็นสรรพสิ่งขึ้นนี้รู้จักกันว่าHarmony (ความกลมกลืนกัน – ขอคำแนะนำ) การทำงานของพีทาโกรัสมีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญากรีกยุคคลาสสิกและปรัชญายุโรป
ประมาณ 200 ปีต่อมา ยุคลิด (Euclid - YOO• klihd) อาศัยทฤษฎีพีทาโกรัสเป็นพื้นฐานสำหรับพัฒนาตัวเอง เขาได้ศึกษารูปร่างต่าง ๆ เช่น รูปวงกลมและรูปสามเหลี่ยม ผลงานของเขาเป็นพื้นฐานของสาขาวิชาการศึกษาซึ่งรู้จักกันว่า เรขาคณิต (Geometry)หลักสูตรเรขาคณิตในปัจจุบันนี้ยังคงตั้งอยู่บนฐานการศึกษาของยุคลิด
ชาวกรีกยังวางรากฐานการแพทย์สมัยใหม่ ฮิปโปเครติส (Hippocrates) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช เชื่อว่าแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคโดยการสังเกตหลายกรณี การปฏิบัตินี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิบัติทางการแพทย์ในยุคต่อมา กาเลน(Galen) ผู้มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 (ค.ศ. 129-200 หรือ 216) มุ่งเน้นไปที่กายวิภาคศาสตร์ คือ การศึกษาโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต เขาได้รับความรู้จากการผ่าตัดมากมาย ด้วยการผ่าตัดพืชและสัตว์เพื่อสำรวจดูชิ้นส่วนพืชและสัตว์เหล่านั้น
ยูคลิดเจ้าของผลงานเรื่อง The Elements |
วิทยาศาสตร์ในยุคกลาง เป็นเวลาหลายศตวรรษหลังจากกาเลนเสียชีวิต การศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นในยุโรปเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นักวิชาการมุสลิมมีความสนใจในความรู้ทางวิทยาศาสตร์ยุคคลาสสิก ระหว่างกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 และกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 นักวิชาการมุสลิมได้ยืมการเรียนรู้ของกรีซยุคคลาสสิกและสังคมโบราณอื่น ๆ มาพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้า เมื่อเวลาผ่านไป การศึกษาและความรู้ของชาวมุสลิมก็แพร่กระจายไปยังยุโรปตะวันตก
นักวิชาการมุสลิม ยิวและคริสต์ ในอัลอันดะลุส (Al-Andalus - อัลอันดะลุส เป็นชื่อภาษาอาหรับของบริเวณคาบสมุทรไอบีเรียและเซ็พติเมเนียที่ปกครองโดยอาหรับและชาวมุสลิมในแอฟริกาเหนือ ในช่วงเวลาต่าง ๆ กันระหว่าง ค.ศ. 711 จนถึง ค.ศ.1492) ได้ช่วยกระบวนการเผยแพร่ความรู้นี้ หลายคนได้แปลผลงานด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นภาษากรีกและภาษาอาหรับเป็นภาษาละติน นักปราชญ์ชาวคริสต์ริสต์พากันแห่ไปสเปนเพื่อศึกษาผลงานเหล่านี้และนำกลับไปยังยุโรป
ในช่วงเวลานี้ นักวิชาการชาวยิวมีบทบาทสำคัญ หนึ่งในนักวิชาการเหล่านี้คือนักวิชาการ ชื่อ Gersonides (guhr•SAHN•uh•DEEZ) ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เขาได้สร้างเครื่องมือในการวัดระยะทางระหว่างวัตถุในท้องฟ้า ด้วยการใช้เครื่องมือนั้น เขาคำนวณได้อย่างถูกต้องว่าดาวฤกษ์อยู่ไกลจากโลกเป็นอันมาก ก่อนหน้านี้ นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นด้วยกับปโตเลมีว่าดาวฤกษ์ค่อนข้างอยู่ใกล้โลกเพียงแค่อยู่ถัดไปจากดวงจันทร์
ในขณะที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป ในไม่ช้า ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นระหว่างคริสต์ศาสนาและวิทยาศาสตร์ ศาสนาคริสต์เน้นการมองโลกด้วยศรัทธา ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์เน้นเหตุผล นักปราชญ์ชาวคริสต์ ชื่อ ทอมัส คไวนัส พยายามแสดงให้เห็นว่าทัศนะทั้งสองอาจจะดำรงอยู่ได้ด้วยความสามัคคี ไม่ช้าก็เร็ว การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ จะคุกคามความสามัคคีนี้ระหว่างศาสนาและวิทยาศาสตร์
สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยานำไปสู่แนวความคิดใหม่ ๆ หลังจากที่จักรวรรดิไบเซนไทน์ล่มสลายลงในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 นักปราชญ์ไบเซนไทน์หลายคนได้หลบหนีไปอิตาลี พวกเขาได้นำความรู้วรรณคดีของกรีกยุคคลาสสิกและโรมันไปด้วย วรรณกรรมนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของลัทธิมนุษยนิยมซึ่งเป็นวิธีคิดที่มุ่งเน้นมนุษย์และศักยภาพที่มุ่งความสำเร็จของมนุษย์ ในเวลาเดียวกันสิ่งประดิษฐ์แท่นพิมพ์ก็ช่วยในการเผยแพร่แนวความคิดมนุษยนิยมไปทั่วยุโรป นักวิชาการยุโรปก็เริ่มตั้งคำถามกับการเรียนรู้ยุคคลาสสิก หลังจากนั้นไม่นาน จิตวิญญาณแห่งการสำรวจแนวใหม่ก็ปรากฏขึ้นในยุโรป
การปฏิวัติด้านงานศิลปะในช่วงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยายังก่อผลกระทบแก่นักวิทยาศาสตร์ ศิลปินต้องการแสดงวิชาของพวกเขาในทางที่มีเหตุผล การจะทำได้เช่นนี้ พวกเขาได้สังเกตมนุษย์และสัตว์อย่างใกล้ชิด บางคนถึงกับชำแหละศพมนุษย์ การศึกษาอย่างรอบคอบนี้นำไปสู่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ได้ถูกต้องมากขึ้น
ในช่วงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ชาวยุโรปมองหาเส้นทางใหม่เพื่อไปยังเอเชีย การเดินทางเหล่านี้ได้เพิ่มความรู้เกี่ยวกับสัณฐาน ขนาดและสภาพอากาศของโลก ความรู้ใหม่นี้บางส่วนท้าทายแนวความคิดยุคคลาสสิก
วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า
นักปราชญ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เมื่อได้รับอิทธิพลจากลัทธิมนุษยนิยม ก็เริ่มตั้งคำถามแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ยุคคลาสสิกและความเชื่อของศาสนาคริสต์ คำถามเกี่ยวกับทฤษฎีเก่าเป็นที่รู้จักกันว่า การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ (the Scientific Revolution) การเปลี่ยนแปลงแนวความคิดนี้นำไปสู่การปะทุขึ้นของความคิดใหม่ ๆ
สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17 การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกก็ง่ายขึ้นโดยการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือใหม่ ๆ กล้องจุลทรรศน์ เครื่องวัดอุณหภูมิ (เทอร์โมมิเตอร์) และเครื่องวัดความกดอากาศ (บาร์รอมิเตอร์) ก็อยู่ในบรรดาสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้น
ในคริสต์ศตวรรษที่ 1670 นักวิทยาศาสตร์สมัครเล่นชาวดัตช์ ชื่อ อังตวน ฟาน เลเวนฮุค (Anton Van Leeuwenhoek - LAY•vuhn•HUK) ได้สร้างกล้องจุลทรรศน์ หลอดทองเหลืองนี้มีเลนส์กระจกโค้งขยายวัตถุได้ระหว่างระยะด 50 เท่า และ 300 เท่า ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์ ฟานเลเวนฮุกได้สังเกตแบคทีเรียหรือวัตถุที่เคลื่อนไหวเล็ก ๆ ในของเหลว นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตการไหลของเลือดผ่านเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ที่เรียกว่า capillaries (เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ)
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลี ชื่อ กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1564-1642) คิดค้นเครื่องวัดอุณหภูมิ (Thermometer) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิ เครื่องวัดอุณหภูมิของกาลิเลโอเป็นหลอดแก้วเปิดมีหลอดไฟบรรจุน้ำไว้ด้านล่าง น้ำเพิ่มขึ้นในหลอดขณะร้อนและลดลงในขณะเย็น ประมาณ 100 ปีต่อมาในคริสต์ศักราช 1714 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ กาเบรียล แดเนียล ฟาเรนไฮต์ (Gabriel Daniel Fahrenheit - FAR•uhn•HYT) ได้สร้างเครื่องวัดอุณหภูมิปรอทเครื่องแรกขึ้น และยังได้นำเสนอระบบการวัดอุณหภูมิอย่างเป็นทางการระบบแรกนั้น มาตราส่วนการวัดของฟาเรนไฮต์แสดงจุดเยือกแข็งอุณหภูมิ 32° และจุดเดือดที่ 212°
ในคริสต์ศักราช 1643 เพื่อนกับผู้สนับสนุกาลิเลโอ ชื่อ เอวานเจลิสตา โตร์ริเชลลี (Evangelista Torricelli - TAWR•ur•CHEHL•ee) ได้คิดค้นบารอมิเตอร์ เครื่องมือนี้วัดความดันของชั้นบรรยากาศโลก ต่อมานักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ใช้บารอมิเตอร์พยากรณ์สภาพอากาศ
ภาพวาดกาลิเลโอแสดงวิธีใช้กล้องโทรทัศน์ให้กับผู้ปกครองเมืองเวนิซ |
จักรวาลที่ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง (Heliocentric Universe) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์ ชื่อ นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus - koh•PUR•nuh•kuhs) ได้ท้าทายทฤษฎีที่มีโลกเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาลของปโตเลมี โคเปอร์นิคัสให้เหตุผลว่า ดาวฤกษ์ โลกและดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ โคจรหรือเคลื่อนที่ไปรอบดวงอาทิตย์ที่หยุดอยู่กับที่ ทัศนะเกี่ยวกับจักรวาลของโคเปอร์นิคัสเป็นที่รู้จักกันว่า ทฤษฎีที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง heliocentric theory) เป็นความเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
เกือบ 100 ปีต่อมา นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ โยฮันเนส เคปเลอร์ (Johannes Kepler) ได้ใช้ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสมาพัฒนาต่อและทำให้ถูกต้องมากขึ้น เคปเลอร์ใช้กฎทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าดาวเคราะห์เคลื่อนที่ไปรอบดวงอาทิตย์จริง กฎหนึ่งแสดงให้เห็นว่าดาวเคราะห์โคจรเป็นรูปวงรีและไม่ได้โคจรเป็นวงกลมตามที่โคเปอร์นิคัสเชื่อ รูปโคจรวงรีมีรูปร่างเหมือนไข่
กาลิเลโอท้าทายความเชื่อที่ยอมรับกันทั่วไป กาลิเลโอได้สร้างความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างซึ่งท้าทายแนวความคิดยุคคลาสสิก หลังจากที่ทราบว่าผู้ผลิตเลนส์ชาวดัตช์ได้สร้างเครื่องมือที่สามารถขยายวัตถุได้ไกล กาลิเลโอก็สร้างกล้องโทรทรรศน์ของเขาเอง ข้อสังเกตที่เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนด้วยกล้องโทรทรรศน์ได้สนับสนุนความคิดของโคเปอร์นิคัส อย่างไรก็ตาม บทสรุปของเขาได้นำเขาไปสู่ความขัดแย้งกับคริสตจักร ทัศนะของโคเปอร์นิคัสขัดแย้งกับความเชื่อของคริสตจักรที่กล่าวว่าโลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลไม่ใช่ดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลางอย่างเป็นทางการ เป็นผลให้เหล่าผู้นำคริสตจักรประณามกาลิเลโอ และบังคับให้กาลิเลโอปฏิเสธการค้นพบของตนเองต่อสาธารณชน แต่กาลิเลโอรู้ว่าเขาถูกต้องและนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ก็ถูกต้องเหมือนกัน
กฎแห่งจักรวาลของนิวตัน ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) ได้รวบรวมแนวความคิดของโคเปอร์นิคัส เคปเลอร์และกาลิเลโอมาเป็นทฤษฎีหนึ่งเดียว ทฤษฎีนั้นระบุว่าวัตถุทางกายภาพทั้งหมดรับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกัน พลังธรรมชาตินี้มีแนวโน้มในการดึงวัตถุเข้าหากัน แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่ทำให้ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้คนไม่ให้ลอยออกจากพื้นผิวโลกไปในอวกาศ เนื่องจากแรงโน้มถ่วงกระทำต่อวัตถุทั่วทั้งจักรวาล นิวตันจึงเรียกทฤษฎีของตนเองว่า กฎแรงโน้มถ่วงแห่งจักรวาล (law of universal gravitation)
เซอร์ไอแซก นิวตัน นอกจากจะค้นพบแรงโน้มถ่วงแล้ว ยังสนใจในวิทยาศาสตร์เกี่ยวแสงและสายตา เขาเป็นผู้ค้นพบแสงที่สร้างสีสรรค์ให้กับรุ้งกินน้ำ |
การค้นพบในด้านการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์บางคนพยายามเข้าใจจักรวาล คนอื่น ๆ ต้องการจะรู้ว่าร่างกายมนุษย์ทำงานอย่างไร ในคริสต์ศักราช 1628 อายุรแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ วิลเลียม ฮาร์วีย์ (William Harvey) ได้ตีพิมพ์คำอธิบายที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิธีการที่เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย และวางรากฐานผลการวิจัยในการผ่าตัดร่างกายมนุษย์ที่เขาได้ดำเนินการมา ข้อสังเกตของเขาแสดงให้เห็นว่าหัวใจปั๊มเลือดไปทั่วร่างกายของสิ่งมีชีวิตไม่ใช่ตับตามที่กาเลนเชื่อ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นักปรัชญาสองคน คือ เรอเน เดการ์ต (René Descartes - day•KAHRT) และฟรานซิส เบคอน(Francis Bacon) มีผลกระทบอย่างมากเกี่ยวกับวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโลก
เดการ์ตและเบคอน ชาวฝรั่งเศส ชื่อ เรอเน เดการ์ต (René Descartes) เชื่อว่าแนวความคิดทุก ๆ เรื่องควรจะตั้งข้อสงสัยจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์ด้วยเหตุผล เดการ์ตวางรากฐานวิธีการของเขาด้วยคำพูดง่าย ๆ "ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีอยู่ (I think, therefor I am." เขาแย้งว่าพระเจ้าทรงสร้างความจริงสองอย่าง อันแรกคือความจริงทางกายภาพ อีกอันหนึ่งคือจิตใจมนุษย์ เดการ์ตอ้างว่าคนสามารถใช้จิตใจของตนเองเข้าใจโลกทางกายภาพได้
ชาวอังกฤษ ชื่อ เซอร์ฟรานซิส เบคอนยังเชื่อในการใช้ความคิดที่มีเหตุผลด้วย อย่างไรก็ตาม เบคอนรู้สึกว่านักวิทยาศาสตร์ควรใช้การทดลองและการสังเกตมากกว่าเหตุผลบริสุทธิ์ในการเข้าใจโลก
------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
เซอร์ฟรานซิส เบคอน (Sir Francis Bacon – มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1561–1626)
เซอร์ฟรานซิส เบคอน |
วิทยาศาสตร์เป็นงานอดิเรกสำหรับฟรานซิส เบคอน เขาเป็นนักการเมือง เบคอนต้องการรวมความคิดที่มีเหตุผลในทางการเมืองและวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน งานเขียนของเขาช่วยให้ระบบกฎหมายอังกฤษกำหนดมาตรฐานโลกสำหรับความเป็นธรรม เบคอนอยู่ในจำนวนคนแรกที่แสดงให้เห็นว่า ลัทธิเหตุผลนิยมทำงานในการปกครองเช่นเดียวกับในวิทยาศาสตร์
เบคอนก็ตัดสินใจเดินตามความรักการทดลองวิทยาศาสตร์ของตนเองถึงแม้ว่ามันจะฆ่าเขา ในที่สุดก็ทำได้ เบคอนป่วยและเสียชีวิตหลังจากการทดลองทฤษฎีที่ว่าหิมะสามารถนำมาใช้หยุดร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อยได้ เขายัดหิมะในตัวไก่ แต่เขาเป็นหวัดในขณะดำเนินการ ความเย็นกลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและเขาก็ตายในสัปดาห์ต่อมา
------------------------------
วิธีการที่มีเหตุผลของเบคอนวางรากฐานให้กับสิ่งที่รู้จักกันในทุกวันนี้ว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์มีขั้นตอนที่เฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย การสังเกต การทดลอง การวิเคราะห์และการประเมินผล (ดังแผนภูมิ)
หลักการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ แนวความคิดของเดการ์ตและเบคอนรู้จักกันว่า หลักการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 17 อิทธิพลของหลักการใช้เหตุผลวิทยาศาสตร์ ได้เริ่มลดอำนาจของคริสตจักรลง ทำไมจึงเกิดการณ์นี้ขึ้น? หลักการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์กระตุ้นให้ผู้คนคิดถึงตัวเองแทนที่จะพึ่งอำนาจคริสตจักร
นักคิดทางการเมืองบางพวกได้นำหลักการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการปกครอง ตัวอย่างเช่น นักคิดทางการเมือง ชื่อ จอห์น ล็อก (John Locke) เชื่อว่าผู้คนมีความสามารถทางธรรมชาติในการรับผิดชอบกิจการของตัวเอง เขามอง ความสามารถนี้ในฐานเป็นกฎธรรมชาติหรือความถูกต้อง ความเชื่อดังกล่าวปลูกเมล็ดพันธุ์ของระบอบประชาธิปไตยซึ่งในไม่ช้าก็พัฒนาไปในประเทศต่าง ๆ เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา
ยุคแห่งการสำรวจ
โปรตุเกสเป็นผู้นำด้านการสำรวจ
นับตั้งแต่ยุคกลางเป็นต้นมา ชาวยุโรปต้องการสินค้าหรูหรา เช่น ผ้าไหมและเครื่องเทศจากเอเชีย ในช่วงนี้ เหล่าพ่อค้าชาวอิตาลีและชาวมุสลิมควบคุมการค้าขายทางบกระหว่างยุโรปและเอเชีย เหล่าพ่อค้าจากหลายประเทศ เช่น โปรตุเกส สเปน อังกฤษและฝรั่งเศส ต้องการมีส่วนร่วมในการค้าขายนี้ เพื่อการนี้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องค้นหาเส้นทางทางทะเลเพื่อไปยังเอเชีย
นักเดินเรือสามารถคำนวณเส้นรุ้งได้ในขณะอยู่ในทะเล ด้วยการใช้นาฬิกาดาววัดความสูงของดาวเหนือในท้องฟ้า |
ป้อมปราการแห่งเมืองซาเกรสปลายสุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของโปรตุเกส น่าจะเป็นที่ตั้งของโรงเรียนฝึกการเดินเรือของเจ้าชายเฮนรี |
นักเดินเรือชาวโปรตุเกสได้ยืมอุปกรณ์มาจากวัฒนธรรมประเทศอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ยืมเข็มทิศซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนมาเป็นเครื่องนำทาง ใช้เครื่องมือดาราศาสตร์โบราณใช้หาตำแหน่งดวงดาวในอวกาศ (astrolabe) ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของกรีกโบราณและชาวอาหรับนำมาปรับปรุง เครื่องมือดาราศาสตร์โบราณใช้หาตำแหน่งดวงดาวในอวกาศวัดมุมตำแหน่งดาวฤกษ์บนท้องฟ้าช่วยให้นักเดินทางเรือหาตำแหน่งเส้นรุ้ง หรือเส้นศูนย์สูตรของโลกที่มีระยะห่างจากขั้วโลกเหนือและใต้เท่ากัน
แผนที่การเดินทางสำรวจของโปรตุเกส ค.ศ. 1418 - 1498 |
ใน ค.ศ. 1488 นักสำรวจชาวโปรตุเกส ชื่อ บาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เดินทางอ้อมปลายแหลมทางตอนใต้ของแอฟริกา แล้วก็แล่นเรือขึ้นไปทางฝั่งตะวันออกของแอฟริกาก่อนจะกลับบ้านเกิด วัชกู ดา กามา (Vasco da Gama) ขยายเส้นทางของดิอัซ โดยการแล่นเรือไปตลอดฝั่งตะวันออกจนถึงอินเดียใน ค.ศ. 1498 สองสามปีต่อมา ชาวโปรตุเกสก็ตั้งที่มั่นการค้าขายในอินเดียได้ แล้วก็เดินทางต่อไปยังตะวันออก ในที่สุดชาวโปรตุเกสก็ตั้งศูนย์กลางการค้าขายขึ้นเป็นอันมากในหมู่เกาะเครื่องเทศ (Spice Island –หมู่เกาะโมลุกกะ) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอินโดนีเซีย
การค้าขายทางบกตั้งแต่เอเชียถึงยุโรปมีแนวโน้มว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองมาก เนื่องจากสิ้นค้าถ่ายเข้าถ่ายออกมากมายหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การค้าขายทางทะเลก็สิ้นเปลืองน้อยกว่า เนื่องจากสินค้าไม่ต้องขนถ่ายบ่อยครั้ง เป็นผลให้ชาวโปรตุเกสตีราคาเครื่องเทศถูกลง บางครั้งบางคราว โปรตุเกสก็ยึดครองการค้าขายกับเอเชีย
โคลัมบัส (Columbus) เดินทางมาถึงอเมริกา
ในขณะที่ชาวโปรตุเกสมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเพื่อรักษาเส้นทางการค้าขาย นักเดินเรือชาวอิตาลี ชื่อ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกด้วยหวังว่าจะพบเส้นทางทางตะวันตกที่มุ่งสู่แหล่งที่อุดมสมบูรณ์คือเอเชีย
การเดินทางไกลครั้งแรกของโคลัมบัส ด้วยการศึกษาแผนที่และบันทึกที่มีอยู่ โคลัมบัสก็รู้ว่าโลกกลม อาศัยความรู้นี้ โคลัมบัสจึงคิดว่าตนเองน่าจะเดินทางถึงเอเชียในไม่ช้าถ้าเขาแล่นเรือไปทางตะวันตกแทนการเดินทางไปทางทิศตะวันอกอ้อมแอฟริกา อย่างไรก็ตาม โคลัมบัสคำนวณระยะทางรอบโลกผิดพลาด เขาประมาณว่าระยะทางนี้อยู่ที่เศษ 3 ส่วน 4 เท่านั้น ซึ่งไกลพอ ๆ กับความเป็นจริง (ไกลกว่าที่เดินทางไปทางตะวันออกเสียอีก)
การเดินทางไกลครั้งแรกของโคลัมบัส ด้วยการศึกษาแผนที่และบันทึกที่มีอยู่ โคลัมบัสก็รู้ว่าโลกกลม อาศัยความรู้นี้ โคลัมบัสจึงคิดว่าตนเองน่าจะเดินทางถึงเอเชียในไม่ช้าถ้าเขาแล่นเรือไปทางตะวันตกแทนการเดินทางไปทางทิศตะวันอกอ้อมแอฟริกา อย่างไรก็ตาม โคลัมบัสคำนวณระยะทางรอบโลกผิดพลาด เขาประมาณว่าระยะทางนี้อยู่ที่เศษ 3 ส่วน 4 เท่านั้น ซึ่งไกลพอ ๆ กับความเป็นจริง (ไกลกว่าที่เดินทางไปทางตะวันออกเสียอีก)
สำหรับผู้คนเป็นอันมาก แนวความคิดของโคลัมบัสที่แล่นเรือไปทางตะวันตกมุ่งสู่ตะวันออกดูเป็นเรื่องประหลาดเล็กน้อย ชาวโปรตุเกสปฏิเสธแนวความคิดนี้ ชอบค้นหาเส้นทางไปทางตะวันออกมุ่งสู่เอเชียมากกว่า แม้สเปนซึ่งกระหายความสำเร็จด้านการค้าขายก็ยังคลางแคลงใจอยู่ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น 6 ปี โคลัมบัสก็ทำให้พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ (Ferdinand) กษัตริย์สเปนและพระนางอิซาเบลลา (Isabella) มั่นพระทัยในการสนับสนุนแผนการของเขา
ในต้นเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1492 โคลัมบัสเดินทางออกจากสเปนด้วยเรือใบขนาดเล็กสามลำพร้อมกับชายประมาณ 90 คน หลังจากนั้นเกือบ 10 สัปดาห์ ณ ท้องทะเล ลูกเรือของโคลัมบัสก็เกิดอาการกระสับกระส่าย เนื่องจากไม่พบแผ่นดินมาเป็นเวลามากกว่า 1 เดือนและต้องการจะกลับบ้าน โคลัมบัสจึงกล่อมพวกเขาให้เดินทางต่อไป ครั้นแล้วในวันที่ 12 เดือนตุลาคม ลูกเรือก็ตะโกนว่า“Tierra, Tierra (แผ่นดิน แผ่นดิน)”
ภาพแกะสลักนี้ทำขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในภาพ โคลัมบัสจอดเรือใกล้หมู่เกาะฮิสปันโยลาในการเดินเรือครั้งแรก |
----------------------------
ภูมิหลัง Diego Alvarez Chanca จากเมืองเซวิลล์ในสเปน มีหน้าที่เป็นศัลยแพทย์ในการเดินทางครั้งที่สองของโคลัมบัสไปยังอินดีสตะวันตก (West Indies) ได้เขียนเล่าประสบการณ์ของตนเองเป็นลายลักษณ์อักษร ณ สภาเมืองเซวิลล์ จากข้อความที่ตัดตอนมา เขาได้อธิบายสัตว์ที่เขาเห็นบนหมู่เกาะฮิสปันโยลา (Hispaniola)
“...ไม่มีสัตว์สี่ขาที่เคยเห็นมาบนเกาะนี้หรือเกาะใด ๆ เลยนอกจากสุนัขที่มีสีหลากหลายเหมือนกับสุนัขในบ้านเมืองเรา...และสัตว์เล็ก ๆ บางชนิดมีสีและขนคล้ายกระต่าย....มีหางยาว และมีเท้าคล้ายเท้าของหนู สัตว์เหล่านี้ปีนป่ายขึ้นบนต้นไม้....
...มีงูเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก และสัตว์เลื้อยคลานบ้าง แต่ไม่มาก...ลูกเรือของเราเห็นสัตว์เลื้อยคลานตัวมหึมา ซึ่งกล่าวกันว่าตัวกลมใหญ่พอ ๆ กับลูกวัว มีหางยาวพอ ๆ กับหอก ซึ่ง (ชาวเกาะ) ออกไปฆ่า แต่มันตัวค่อนข้างใหญ่และเทอะทะคลานลงไปในทะเลเพื่อหนีการไล่จับ...”
----------------------------
สนธิสัญญาทอร์เดซีลญาส กษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิซาเบลล่ามีพระประสงค์จะสร้างความมั่นใจว่า โปรตุเกส ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าขายจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากการเดินทางของโคลัมบัส ชาวโปรตุเกสเกรงว่าถ้าโคลัมบัสค้นพบเส้นทางไปสู่เอเชีย สเปนอาจอ้างสิทธิเหนือดินแดนที่โปรตุเกสถือสิทธิเรียบร้อยแล้ว ใน ค.ศ. 1494 สเปนและโปรตุเกสจึงลงนามในสนธิสัญญาแห่งทอร์เดซีลญาส (Treaty of Tordesillas - TAWR-—day—-SEEL—-yahs) สนธิสัญญานี้ลากเส้นจินตนาการรอบโลกจากเหนือถึงใต้ สเปนอาจจะอ้างสิทธิเหนือดินแดนทางทิศตะวันตกทั้งหมดของเส้น ส่วนโปรตุเกสอ้างสิทธิเหนือดินแดนทางทิศตะวันออกทั้งหมด สนธิสัญญาให้โปรตุเกสควบคุมดินแดนแห่งหนึ่งในทวีปอเมกา คือ ประเทศบราซิลในปัจจบัน
การเดินทางครั้งต่อ ๆ มา กษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิซาเบลล่าทรงพอพระทัยกับผลการเดินทางครั้งแรกของโคลัมบัส ทั้งสองพระองค์ได้ส่งโคลัมบัสเดินทางเพิ่มอีก 3 ครั้งไปทางตะวันตกเพื่อค้นหาอินเดียแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าโคลัมบัสจะจอดเรือบนหมู่เกาะมากมาย เขาก็ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าตัวเองอยู่ในเอเชีย ในที่สุด กษัตริย์เฟอร์ดินานและราชินีอิซาเบลล่าก็หมดความอดทนกับโคลัมบัส โคลัมบัสได้เสียชีวิตลงใน ค.ศ. 1506 เป็นบุรุษที่ขมขื่นและโดดเดี่ยว จนกระทั่งวันตายของเขา เขาก็ยังยืนว่าตัวเองเดินทางไปถึงอินเดียแล้ว อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าผู้คนก็ตระหนักว่าโคลัมบัสได้ค้นพบดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลซึ่งแต่ก่อนไม่มีใครรู้จัก (คือทวีปอเมริกา)
การสำรวจตามหลังโคลัมบัส
หลังจากการเดินทางของโคลัมบัส หลายประเทศได้ให้การสนับสนุนการเดินทางสำรวจไปยังอเมริกา นักสำรวจหลายคนเหมือนกับโคลัมบัสค้นหาเส้นทางเพื่อไปยังเอเชียให้เร็วขึ้น คนอื่น ๆ ค้นหาแต่ความมั่งคั่ง
การเดินทางรอบโลก ใน ค.ศ. 1519 สเปนได้ให้การสนับสนุนการเดินทางมีกะลาสีเรือชาวโปรตุเกสชื่อ เฟอร์ดินานด์ มาเจลลัน(Ferdinand Magellan) เป็นหัวหน้า โดยเดินทางออกจากสเปนพร้อมเรือ 5 ลำและลูกเรือประมาณ 240 คน เป้าหมายคือการเดินทางรอบโลก หรือไปทั่วโลก จนถึงเวลานี้ก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จด้านนี้เลย
มาเจลลันแล่นเรือรอบใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้และไปสู่ท้องน้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลของมหาสมุทรแปซิฟิก เรือแล่นไปเป็นเวลาหลายเดือนโดยไม่ได้เห็นแผ่นดิน ในที่สุดก็มาถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ณ ที่นั่น มาเจลลันถูกฆ่าตายในสงครามท้องถิ่น ลูกเรือของเขาภายใต้การนำของฮวน เซบาสเตียน เดล คาโน (Juan Sebastián del Cano) ก็เดินทางต่อไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศและแล้วก็ถึงบ้านเกิดเมืองนอน หลังจากการเดินทางเกือบสามปี มีเพียงเรือลำเดียวและลูกเรือคณะเดิม 18 คนเท่านั้นที่กลับไปถึงสเปนได้ การเดินทางรอบโลกประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ก็เป็นความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจ ระวางบรรทุกสินค้าของเรือก็เต็มไปด้วยเครื่องเทศจากเอเชีย
การเขียนแผนที่ในยุคกลางยึดเอาความรู้และความแบบโบราณเป็นหลัก แผนที่ด้านซ้ายมือ เขียนใน ค.ศ. 1452 มีเยรูซาเล็มเป็นศูนย์กลางแสดงเพียง 3 ทวีป คือ เอเชีย ยุโรปและแอฟริกา ทิศตะวันออกอยู่ด้านบนของแผนที่ ด้านขวามือ เป็นแผนที่ทวีปแอฟริกา เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1595 แสดงตำแหน่งทวีปได้ถูกต้อง
เปรียบเทียบการเขียนแผนที่
เหล่าผู้พิชิตชาวสเปน ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักสำรวจชาวสเปนเดินทางถึงทวีปอเมริกาเพื่อต้องการค้นหาทองคำ เอร์นัน เกอร์เตส (Hernán Cortés) พิชิตจักรวรรดิแอซเท็ก (Aztec) อันอุดมสมบูรณ์ ภายใน 20 ปี สเปนได้ครอบครองเม็กซิโกในปัจจุบันและอเมริกากลางทั้งหมด ชาวสเปนได้เอาผู้คนในภูมิภาคนั้นไปเป็นทาสจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่ช้า ชาวสเปนอีกคนหนึ่ง ชื่อ ฟรันซิสโก ปีซาร์โร (Francisco Pizarro) ก็นำพรรคพวกเข้าโจมตีเผ่าอินคาในอเมริกาใต้ ฆ่าจักรพรรดิตาย ในไม่ช้าเผ่าอินคาก็ล่มสลาย ประมาณ ค.ศ. 1535 ชาวสเปนก็ควบคุมดินแดนอินคาส่วนใหญ่ได้ ชาวอินคาจำนวนมากก็ตกเป็นแรงงานทาสในเหมืองและไร่นาของชาวสเปน
การสำรวจไกลออก ความต้องการทองคำชักนำนักสำรวจชาวสเปนขึ้นไปทางตอนเหนือ ใน ค.ศ. 1513 ฮวน ปอนเซ เด เลออง (Juan Ponce de León) จอดเรือที่ฝั่งทะเลที่ปัจจุบันนี้เป็นฟลอริดา และอ้างกรรมสิทธิ์เป็นของสเปน ตั้งแต่ ค.ศ. 1539 – 1542 เอร์นันโด เด ซาโต (Hernando de Soto) ได้สำรวจดินแดนในบริเวณที่เป็นตอนใต้ของสหรัฐในปัจจุบัน ใน ค.ศ. 1540 ฟรันซิสโก โคโรนาโด (Fracisco Coronado) เริ่มสำรวจบริเวณที่เป็นด้านตะวันตกของสหรัฐในปัจจุบัน ไม่มีใครพบทองคำเลย
ชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศสก็พยายามหาทางลัดไปยังเอเชียอย่างหนัก โดยการสนับสนุนคณะนักสำรวจให้ค้นหาทางผ่านด้านตะวันตกเฉียงเหนือ (Northwest Passage – แถวมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งเรียกกันว่า “เส้นทางสายน้ำแข็ง” – ผู้แปล) ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำในตำนานผ่านตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือไปยังเอเชีย ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1490 นักเดินเรือชาวอิตาลี ชื่อ จอห์น แคบอต (John Cabot) เป็นผู้นำการเดินทางสองครั้งให้อังกฤษ ได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือแผ่นดินฝั่งทะเลซึ่งปัจจุบันคือด้านตะวันออกของแคนาดาและสหรัฐให้กับอังกฤษ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่พบทางผ่านไปยังเอเชีย
ใน ค.ศ. 1524 จิโอวานนี ดา เวอร์ราซาโน (Giovanni da Verrazano - VEHR•uh•ZAH•noh) นักเดินเรือชาวอิตาลีอีกคนหนึ่งก็ได้ค้นหาด่านด้านตะวันตกเฉียงเหนือให้กับฝรั่งเศส แม้จะล้มเหลวในการค้นหาเส้นทางไปสู่เอเชีย ก็ได้สำรวจบริเวณที่เป็นอ่าวนิวยอร์คในปัจจุบัน (New York harbor)
การเขียนแผนที่และการมองโลกแบบใหม่ การสำรวจแต่ละครั้งช่วยให้มีการเปลี่ยนมุมมองโลกแก่ชาวยุโรป ก่อนโคลัมบัสเดินทาง ชาวยุโรปมองโลกไปที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณดินแดนรอบ ๆ หลังจากการสำรวจของโคลัมบัส ชาวยุโรปก็มองโลกไปด้านตะวันตกตั้งแต่ทวีปอเมริกาไปถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ (หมู่เกาะโมลุกกะหรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน) ในตะวันออก
สะานเวอร์ราซาโน แนร์โรว์ บริดจ์ นิวยอร์ก สร้างเป็นเกียรติแก่นักสำรวจชาวอิตาลี เสร็จเมือ ค.ศ. 1964 |
-------------------------------------------
การดำเนินชีวิต
การดำเนินชีวิตบนเรือ
ถ้าเราเป็นนักสำรวจชาวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 15 บางทีเราอาจจะดำเนินชีวิตคล้ายภาพด้านบน การดำเนินชีวิตในท้องทะเลในยุคนี้ไม่ง่ายเลย บ่อยครั้งที่การเดินทางใช้เวลาเป็นแรมเดือน บางครั้งก็เป็นปี เศษหนึ่งส่วนสี่ในการดำเนินชีวิตมีแต่อุปสรรค อาหารไม่มีคุณภาพและก็ไม่เพียงพอบ่อยครั้ง พายุร้ายแรงและอุบัติเหตุทางเรือก็คุกคามอยู่เรื่อย ๆ
ตำแหน่ง A. เรือสำเภา ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 เรือเดินสมุทรของชาวยุโรปส่วนมากเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ ต้นแบบของเรือเดินสมุทรยาวระหว่าง 70 ฟุตและ 100 ฟุต กว้างประมาณ 20 ฟุต ควบคุมง่ายเมื่อเรือเต็มและแล่นเร็ว
ตำแหน่ง B. กัปตัน ปกติกัปตันมีห้องเล็กอยู่ท้ายเรือเป็นที่ทำงานและหนึ่งในสี่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องนั้น กัปตันจะเก็บรักษาแผนที่ แผนภูมิ และสมุดจดรายการต่าง ๆ ไว้ที่นั่น แผนภูมิและสมุดจดรายการต่าง ๆ ที่กัปตันเก็บรักษาไว้ขณะเดินทางมักจะช่วยให้นักวาดแผนที่วาดแผนที่ได้ถูกต้องมากขึ้น
ตำแหน่ง C. การเดินเรือ นักเดินเรือจะใช้เข็มทิศคำนวณทิศทาง การคำนวณตำแหน่งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ด้วยเครื่องมือดาราศาสตร์โบราณใช้หาตำแหน่งดวงดาวในอวกาศช่วยให้กำหนดเส้นรุ้งได้ แผนที่และแผนภูมิให้ข้อมูลมากมายแก่นักเดินเรือ
ตำแหน่ง D. อาหารการกิน เรือสำเภาบางลำบรรทุกหมูและแม่ไก่เป็น ๆ มาบนดาดฟ้าเพื่อออกไข่และให้เนื้อสด ๆ แก่คนในเรือ อย่างไรก็ตาม ห้องอาหารบนเรือในวันธรรมดาประกอบไปด้วยขนมปังกรอบแข็ง เนื้อเข็ม และไวน์หรือเบียร์คุณภาพต่ำ เนื้อจะเน่าเปื่อยและขนมปังจะมีตัวหนอนเสมอ ๆ
ตำแหน่ง D. สภาพการดำเนินชีวิต ด้านบนเรือ ปกติแล้วนักเดินเรือจะดำเนินชีวิตในสภาพที่ติดขัดมาก พวกเขาจะหาที่ว่างตรงไหนก็ได้สำหรับผูกเปลนอนหลับ เจ้าหน้าที่ที่มีสุขภาพอ่อนแอกว่านักเดินเรือเหล่าอื่นมีเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น
-------------------------------------------------------
ลัทธิล่าอาณานิคมและการเปลี่ยนแปลง
การแลกเปลี่ยนสินค้าและแนวความคิด
การสำรวจของชาวยุโรปทำให้เกิดการค้าขายแบบใหม่เชื่อมต่อทวีปต่าง ๆ ในโลก การติดต่อค้าขายเหล่านี้ทำให้มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิดและสิ้นค้ากระจายไปทั่วโลก
Columbian Exchange Columbian Exchange คือ ขบวนการเคลื่อนย้ายพืชและสัตว์ระหว่างซีกโลกตะวันออกและตะวันตกโดยพ่อค้าชาวยุโรป การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้นหลังจากที่โคลัมบัสเดินทางไปยังอเมริกา
ชาวยุโรปนำข้าวสาลี หัวหอม องุ่น อ้อย และส้มไปยังทวีปอเมริกา แล้วบรรทุกข้าวโพด มันฝรั่ง ฟักทองและสับปะรดจากทวีปอเมริกาโดยทางเรือ ชาวยุโรปยังนำสัตว์เลี้ยง เช่น ม้าและโรค เช่น โรคไข้ทรพิษและโรคหัดไปสู่ทวีปอเมริกาอีกด้วย ชาวพื้นเมืองอเมริกันไม่มีภูมิต้านทานโรคเหล่านี้ เป็นผลให้โรคฆ่าคนพื้นเมืองอเมริกันประมาณ 20 ล้านคน
ต้นกาแฟ เป็นพืชพื้นเมือง ของแอฟริกา ชาวยุโรปนำ ไปยังอเมริกา บราซิลและโคลัมเบีย ประเทศในอเมริกาใต้ นำไปผลิต ขายทั่วโลกอีกต่อหนึ่ง |
การแลกเปลี่ยนรูปแบบการค้า Columbian Exchange ก่อให้เกิดรูปแบบการค้าขายระหว่างประเทศใหม่ ๆ ขึ้น รูปแบบเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเส้นทางการค้าทางทะเลที่ได้ถูกควบคุมส่วนใหญ่โดยชาวยุโรป
การค้าของโลกเป็นอันมากได้รับการผลักดันจากเงินที่ขุดได้ในอาณานิคมของสเปนในเม็กซิโกและอเมริกาใต้ เงินไหลออกมาจากทวีปอเมริกาไปยังทวีปยุโรปและจากนั้นก็ไปยังประเทศจีน ในทางกลับกัน สินค้าจีน เช่น ผ้าไหมและเครื่องลายครามก็หลั่งไหลกลับไปยังยุโรป เหล่าพ่อค้าชาวยุโรปยังใช้เงินซื้อเครื่องเทศจากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกและอินเดีย
การค้าขายชนิดต่าง ๆ ได้พัฒนาระหว่างอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา ต้นอ้อยที่เจริญเติบโตในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกก็มีการจัดส่งไปยังยุโรป แรงงานที่ทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อยซึ่งจำเป็นในการผลิตต้นอ้อยหามาจากผู้คนที่เป็นทาสจากแอฟริกา สินค้าที่ผลิตราคาถูกหลั่งไหลออกมาจากยุโรปเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนแก่ชาวแอฟริกาที่เป็นทาส การค้าขายรูปสามเหลี่ยมนี้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกดำเนินการมามากกว่า 300 ปี ในเวลานั้น ชาวแอฟริกาที่เป็นทาสประมาณ 10 ล้านคนถูกส่งไปยังทวีปอเมริกา
ขบวนการเคลื่อนย้ายทางวัฒนธรรม แนวความคิดก็มีการแลกเปลี่ยนเหมือนกับการค้าขายสินค้า ตัวอย่างเช่น แนวความคิดอย่างหนึ่งที่ไปกับการสำรวจครั้งแรกจากสเปนและโปรตุเกสก็เกี่ยวกับศาสนา (คริสต์) โดยการพยายามเปลี่ยนแปลงประชากรท้องถิ่นของดินแดนต่าง ๆ ที่นักสำรวจอ้างกรรมสิทธิ์ให้มานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ชาวคริสต์พวกใหม่เหล่านี้ก็ผสมผสานแนวความเชื่อเดิมกับแนวความเชื่อของศาสนาคริสต์ให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
อีกประหนึ่ง ชาวยุโรปจะนำแนวปฏิบัติทางวัฒนธรรมจากดินแดนอื่น ๆ เข้ามาสู่ดินแดนของตนเป็นประจำ ตัวอย่างเช่น ชาวยุโรปเป็นอันมากก็นิยมการดื่มกาแฟจากอาหรับผสมกับน้ำตาลที่ผลิตจากแรงงานทาสชาวแอฟริกันในทวีปอเมริกา
แผนที่รูปแบบการค้าขายของโลก คริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 |
การต่อกันเพื่อล่าอาณานิคม
ในขณะที่การค้าขายเจริญเติบโตขึ้น ชาวยุโรปก็แข่งขันกันล่าอาณานิคมในต่างประเทศ อาณานิคมก็จัดเตรียมวัตถุดิบและตลาดไว้ให้เรียบร้อย
โปรตุเกสและสเปน การเดินทางไปทางตะวันออกของโปรตุเกสทำให้เกิดที่มั่นด้านการค้าขายในทวีปแอฟริกา อินเดีย และเอเชียตะวันออก ในทวีปอเมริกาใต้ สนธิสัญญาทอร์เดซีลญาสทำให้โปรตุเกสครอบครองบราซิล สเปนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สเปนก็มุ่งหน้าล่าอาณานิคมต่อไปยังทวีปอเมริกา การขุดเหมืองเงินและเหมืองทองคำในเปรูและเม็กซิโกมีผลกำไรเป็นพิเศษ
เนเธอแลนด์ ฝรั่งเศส และอังกฤษ ชาวดัทช์มีอาณานิคมเล็ก ๆ แห่งเดียวเท่านั้นในทวีปอเมริกา คือ นิวเนเธอแลนด์ (New Netherland) อย่างไรก็ตาม พวกก็ล่าอาณานิคมเป็นอันมากในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ในที่สุด ชาวดัทช์ก็ควบคุมการค้าขายระหว่างหมู่เกาะอินเดียตะวันออกและทวีปยุโรป
ชาวฝรั่งเศสก็ปรารถนาที่จะค้าขายในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกเช่นกัน ในที่สุด ชาวฝรั่งเศสก็ก็สถาปนาด่านหน้าขึ้นในอินเดีย แม้กระนั้น ความพยายามล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสก็ประสบผลสำเร็จในทวีปอเมริกาเหนือ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ฝรั่งเศสก็สถาปนาQuebec ขึ้นในแคนาดา Quebec กลายเป็นฐานของจักรวรรดิอันใหญ่โตมโหฬาร ทอดยาวจากแคนาดาลงไปทางแม่น้ำมิสซิสซิปปีจนถึงทะเลแคริบเบียน
จากการที่ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปแข่งขันกันล่าอาณานิคม จึงทำให้อังกฤษเกิดแรงบันดาลใจในการจัดตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือ ใน ค.ศ. 1587 ชาวอังกฤษก็สถาปนาอาณานิคมขึ้นในหมู่เกาะ Roanoke ซึ่งปัจจุบันก็คือรัฐ North Carolina ปีเดียวกันนั้น เรือลำหนึ่งแล่นออกจากหมู่เกาะ Roanoke เพื่อไปส่งเสบียงให้กับอาณานิคม ในที่สุด ขณะที่เรือส่งเสบียงแล่นกลับ ใน ค.ศ. 1590 กะลาสีเรือก็พบว่าหมู่เกาะ Roanoke ถูกปล่อยทิ้ง ไม่พบว่ามีร่องรอยของเหล่านักล่าอาณานิคมหลงเหลืออยู่เลย
ใน ค.ศ. 1607 ชาวอังกฤษเริ่มล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาสำเร็จเป็นครั้งแรก เรียกว่า Jamestown ในรัฐ Virginia นักล่าอาณานิคมชาวอังกฤษยุคแรกประกอบด้วยนักแสวงบุญหลายคน ได้ตั้งหลักแหล่งในรัฐ Massachusetts ใน ค.ศ. 1620 เพื่อหลบหนีการข่มเหงทางศาสนาในอังกฤษ ชาวอังกฤษยังได้ตั้งด่านหน้าในทะเลแคริบเบียนและอินเดียอีกด้วย
ภาพนี้ทำขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในภาพพ่อค้าชาวดัชท์กำลังซื้อผ้าขนสัตว์จากชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกา |
กองเรือรบขนาดใหญ่ของสเปน การที่อังกฤษเข้ามาอยู่ในทวีปอเมริกาทำให้เกิดความขัดแย้งกับสเปน อังกฤษโจมตีลูกเรือชาวสเปนทำให้กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน (Philip II of Spain) ทรงพิโรธ ดังนั้น ใน ค.ศ. 1588 กษัตริย์ฟิลิปที่ 2 จึงส่งกองทัพเรือ จำนวน 130 ลำ ไปต่อสู้กับอังกฤษ กองทัพเรืออังกฤษใหญ่กว่าและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ดีกว่าก็โจมตีกองทัพเรือสเปนจนพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นทำให้สเปนอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม สเปนก็ยังเป็นผู้นำทางอำนาจของยุโรปต่อไป เนื่องจากมีเหมืองเงินและเหมืองทองคำในทวีปอเมริกา
การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจของยุโรป
การเจริญเติบโตของการค้าขายในต่างประเทศและความมั่งคั่งใหม่ ๆ จากอาณานิคมต่าง ๆ มีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจมากมายต่อยุโรป ปัจจัยเหล่านี้ทำให้มีธุรกิจและการดำเนินการทางการค้าขายใหม่ ๆ เข้ามาสู่ยุโรป
ลัทธิการค้าขายกับชาวต่างชาติ ในช่วงเวลานี้ นโยบายเศรษฐกิจแนวใหม่ที่เรียกว่า Mercantilism (ลัทธิการค้าขายกับชาวต่างชาติ) ก็พัฒนาไปสู่ยุโรป ลัทธิการค้าขายถือว่าอำนาจของประเทศชาติขึ้นอยู่กับความมั่งคั่ง นโยบายเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมด้านเศรษฐกิจของชาติ อาณานิคมต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญในลัทธิการค้าขายกับชาวต่างชาติ ในบางกรณี อาณานิคมเหล่านั้นก็หาแหล่งทองคำและเงินให้กับประเทศแม่ อีกประการหนึ่ง อาณานิคมต่าง ๆ ก็จัดหาวัตถุดิบให้กับประเทศแม่นำไปใช้ในอุตสาหกรรม และยังให้บริการประเทศแม่ในฐานะเป็นตลาดรองรับสินค้าที่ผลิตจากประเทศแม่
ลัทธิทุนนิยมและเศรษฐกิจด้านการตลาด เหตุผลหนึ่งของการสร้างอาณานิคมและการค้าขายก็คือการเจริญเติบโตของลัทธิทุนนิยม(Capitalism) ลัทธิทุนนิยมคือระบบเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นเจ้าของทรัพยากรทางด้านเศรษฐกิจแต่เพียงผู้เดียวและใช้ทรัพยากรเหล่านั้นเพื่อสร้างผลกำไรให้กับตนเอง เหล่าพ่อค้าที่ลงทุนสร้างอาณานิคมและการค้าขายสำเร็จก็มีผลกำไรอย่างมากมายมโหฬาร พวกเขาเสี่ยงลงทุนในธุรกิจทั้งในต่างประเทศและในบ้านเกิดเมืองนอน
ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้คนจำนวนหนึ่งรู้สึกว่ารัฐบาลมีบทบาทในด้านเศรษฐกิจมากเกินไป นักเศรษฐศาสตร์ เช่น อาดัม สมิธ (Adam Smith) ได้โต้แย้งแนวความคิดเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี ในผลงานที่มีอิทธิพลของเขา ชื่อ the Wealth of Nations (ความมั่งคั่งของชาติ) สมิธได้โต้แย้งว่า เมื่อไม่มีการแทรกแทรงของรัฐบาล การตลาดก็มั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจจะเจริญรุ่งเรือง แนวความคิดของสมิธเป็นแนวทางให้กับรูปแบบระบบเศรษฐกิจของสหรัฐสมัยใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น