กรุงโรมและจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
การทรุดโทรมและมรดกของโรม
โรมและศาสนาคริสต์
ความเชื่อทางศาสนาของชาวโรมันได้รับอิทธิพลจากศาสนาของวัฒนธรรมยุคแรก ในขณะที่ศาสนาคริสต์แผ่กระจายไปทั่วโลกยุคโบราณก่อนคริสต์ศักราช 100 แต่โรมพยายามที่จะควบคุมศาสนาใหม่
แผนที่แสดงลำดับเหตุการณ์โรมและโลก |
แผนที่การแบ่งแยกจักรวรรดิโรมัน ค.ศ. 395 พื้นที่สีเหลือ คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก พื้นที่สีม่วง คือ จักรวรรดิโรมันตะวันออก |
แผนที่แสดงลำดับเหตุการณ์สมัยโรมโบราณและโลก |
นโยบายของกรุงโรมที่มีต่อศาสนาคริสต์
โดยทั่วไป โรมอดทนต่อการปฏิบัติกิจทางศาสนาของผู้คนจนได้รับชัยชนะ ยกตัวอย่างเช่น โรมไม่ต้องการให้ชาวยิวนมัสการพระเจ้าจักรพรรดิและเทพเจ้าโรมันอื่น ๆ อย่างไรก็ตามโรมจะไม่ปล่อยให้ศาสนาของราษฎรก่อการจลาจล สำหรับเหตุผลนั่น เมื่อการประท้วงของชาวยิวเริ่มขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม โรมันได้ทำลายวิหารของชาวยิวในคริสต์ศักราช 70
ภัยคุกคามของศาสนาคริสต์ การปฏิเสธที่จะบูชาเทพเจ้าโรมันของชาวคริสเตียนถูกมองว่าเป็นรูปแบบของการก่อจลาจล นอกจากนี้ การเรียกร้องของศาสนาคริสต์ที่มีต่อทาสและผู้หญิงก่อให้เกิดสัญญาณการเตือนภัย ในที่สุด การพูดคุยเกี่ยวกับผู้นำที่จะสร้างอาณาจักรใหม่ ดูเหมือนจะบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมัน ในขณะที่ผู้ที่ไม่ใช่ยิวหรือบุคคลที่ไม่ใช่ยิวจำนวนมากกว่า ได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางศาสนาคริสต์โดยการเปลี่ยนให้ไปนับถือศาสนาคริสต์ ชาวโรมันก็รู้สึกว่าถูกคุกคาม
มหาวิหารนักบุญเปโดร (St. Peter's Basilica) เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์ |
การข่มเหงของชาวโรมัน ในไม่ช้า ความหวาดกลัวศาสนาคริสต์ของชาวโรมัน ได้นำไปสู่การเป็นศัตรูที่คุกรุ่น ผู้ปกครองโรมันบางคนกล่าวหาชาวคริสเตียนทางการเมืองและปัญหาทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร (หรือ นีโร – Nero) กล่าวหาว่าชาวคริสเตียนจุดไฟเผากรุงโรมจนราบเรียบเป็นส่วนมากในคริสต์ศักราช 64 ในช่วงศตวรรษที่สอง การประหัตประหารชาวคริสต์ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายคนถูกคุมขังหรือฆ่าเพราะศาสนาของพวกเขา กระนั้น คนเป็นจำนวนมาก ก็ยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์
ชาวคริสเตียนพวกอื่น ๆ และแม้ผู้ที่ไม่คริสเตียนบางพวก ได้ยกย่องให้ชาวคริสเตียนผู้ถูกข่มเหงว่าเป็นผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา Martyrs คือ บุคคลที่มีความยินดีที่จะเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อประโยชน์ของความเชื่อหรือความมุ่งหมาย ในระหว่างการข่มเหงของชาวโรมัน ผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนาชาวคริสเตียนมักจะถูกฝังในสุสานใต้ดิน ที่เรียกว่า catacombs (สุสาน) ชาวคริสเตียน ได้รวมตัวกันในสุสานเพื่อเฉลิมฉลองงานศพของผู้ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา เช่นเดียวกับพิธีกรรมและพิธีอื่น ๆ
สุสานใต้ดินในกรุงโรมมีซอกฝังศพติดกำแพงและภาพวาดพระเยซู |
ศาสนาของโลก แม้จะมีการประหัตประหารเหล่าสาวกของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ก็ได้กลายเป็นมีพลังที่ทรงประสิทธิภาพ ประมาณตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 มีชาวคริสต์ล้านคน อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันและไกลออกไป ศาสนาคริสต์เป็นที่นิยมด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น
•ศาสนาโอบอุ้มทุกคน ทั้งชายและหญิง ผู้ที่เป็นทาส คนจนและขุนนาง
•ให้ความหวังแก่ผู้หมดหนทาง
•จิตวิญญาณของความเชื่อทำให้ผู้ที่ถูกรังเกียจจากรูปแบบการดำเนินชีวิตที่หรูหราของเศรษฐีชาวโรมันให้สนใจ
•ศาสนาคริสต์ให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความรักของพระเจ้า
•คำสอนของศาสนาคริสต์ส่งประกายให้ชีวิตนิรันดร์หลังความตาย
ในขณะที่ศาสนาขยายตัว ชุมชนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้การสนับสนุนสมาชิกของพวกเขา ชาวคริสเตียน ได้จัดตั้งโรงพยาบาล โรงเรียน และการบริการสังคม อื่น ๆ เป็นผลให้ความเชื่อมั่นของพวกเขาดึงดูดเหล่าสาวกมากยิ่งขึ้น ในไม่ช้าก็เร็ว จำนวนของเหล่าสาวกจะรวมผู้ศรัทธาที่มีประสิทธิภาพมากให้เป็นหนึ่ง
การเปลี่ยนศาสนาของจักรพรรดิคอนสแตนติน
ในคริสต์ศักราช 306 จักรพรรดิคอนสแตนติ (KAHN•stuhn•TEEN) กลายเป็นจักรพรรดิแห่งกรุงโรม ตอนแรก จักรพรรดิคอนสแตนติอนุญาตให้ประหัตประหารชาวคริสต์ อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศักราช 312 พระองค์ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อศาสนาคริสต์ ในขณะที่พระองค์กำลังต่อสู้กับคู่แข่งสามคนเพื่อการเป็นผู้นำของกรุงโรม
ไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ในท่ามกลางการต่อสู้ จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้อธิษฐานเพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากนั้น พระองค์ก็รายงานว่าได้มองเห็นไม้กางเขนของชาวคริสต์ในท้องฟ้าพร้อมกับคำพูดเหล่านี้: "ด้วยสัญลักษณ์นี้ ท่านจะพิชิต" พระองค์ได้สั่งทหารของพระองค์ นำสัญลักษณ์ไม้กางเขนไปติดไว้บนโล่และธงรบ จักรพรรดิคอนสแตนตินและกองกำลังของพระองค์ได้ชัยชนะการต่อสู้ จักรพรรดิผู้ได้รับชัยชนะได้ให้ความชื่อถือว่าความสำเร็จของพระองค์มาจากพระเจ้าของศาสนาคริสต์
การให้อำนาจตามกฎหมายแก่ศาสนาคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้หยุดการประหัตประหารชาวคริสต์ในทันที จากนั้นในพระราชกฤษฎีกาที่รู้จักกันว่า พระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict of Milan) พระองค์ได้ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นหนึ่งในศาสนาที่ต้องถูกตามกฎหมายของจักรวรรดิ จักรพรรดิคอนสแตนตินได้สร้างวิหาร ใช้สัญลักษณ์คริสเตียนบนเหรียญ และทำให้วันอาทิตย์เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ของการพักผ่อนและการเคารพบูชา แต่จักรพรรดิที่นับถือศาสนาคริสต์ของกรุงโรมองค์แรก ได้ขยายเวลาการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการของพระองค์เองจนสิ้นสุดพระชนม์ชีพของพระองค์
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
จักรพรรดิคอนสแตนติน (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช 280 – 337)
ภาพโมเสกจักรพรรดิคอนสแตนติน |
จักรพรรดิคอนสแตนตินเป็นนักรบที่อำมหิตและประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ พระองค์ยังเป็นนักศึกษาผู้เคร่งครัดศาสนาใหม่ของพระองค์ คือ ศาสนาคริสต์ พระองค์ได้เขียนคำอธิษฐานพิเศษสำหรับกองกำลังของพระองค์และพระองค์ยังได้เดินทางไปพร้อมกับโบสถ์เคลื่อนย้ายในเต็นท์ จักรพรรดิคอนสแตนติออกคำสั่งให้สร้างโบสถ์คริสต์เป็นจำนวนมากในจักรวรรดิโรมัน
จักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ก่อตั้งเมืองคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople – ปัจจุบันนี้ คือ กรุงอิสตันบูล, ตุรกี) เป็นเมืองหลวงใหม่ เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์เป็นเวลาถึงหนึ่งพันปีถัดมา พระองค์ถูกฝังอยู่ในโบสถ์ของผู้เผยแพร่ศาสนาในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในคริสต์ศักราช 337 อนุสาวรีย์ที่อุทิศให้กับอัครสาวก 12 คนล้อมรอบหลุมฝังศพของจักรพรรดิคอนสแตนติน จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเป็นจักรพรรดิคริสเตียนคนแรก ถือว่าตัวเองเป็นอัครสาวกของพระเยซูองค์ที่ 13
----------------------------------------------
ศาสนาคริสต์เปลี่ยนแปลงกรุงโรม ในคริสต์ศักราช 380 จักรพรรดิธีโอโดเซียส (Theodosius) ได้ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการของกรุงโรม สิบเอ็ดปีต่อมา จักรพรรดิธีโอโดเซียส ได้ปิดโบสถ์ที่ไม่ได้เป็นศาสนาคริสต์ทั้งหมด พระองค์กล่าวว่า "ประชาชนทุกชาติที่เราปกครองควรจะปฏิบัติศาสนาที่ปีเตอร์อัครสาวกส่งไปยังชาวโรมัน"
การเริ่มต้นของนิกายโรมันคาธอลิก ศาสนาคริสต์ในเมืองโรมันได้รับเอาโครงสร้างทั่วไป พระสงฆ์และผู้ดูแลวัดเชื่อฟังพระสังฆราช(bishops) หรือผู้นำคริสตจักรท้องถิ่น ตามประเพณีโรมันคาทอลิก บิชอปคนแรกของกรุงโรม คือ อัครสาวกปีเตอร์ ต่อมา บิชอปผู้ใหญ่แห่งกรุงโรมจะกลายเป็นบาทหลวงที่สำคัญที่สุดหรือสมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) นี่เป็นจุดเริ่มต้นของนิกายโรมันคาทอลิก นิกายศาสนาคริสต์นิกายหนึ่งที่ก่อรากฐานในกรุงโรม คาทอลิก (Catholic )หมายความว่า "สากล"
นักเขียนคริสเตียนในยุคแรกบางคน ที่ได้รับการเรียกว่าบิดาแห่งคริสตจักร ได้พัฒนาลัทธิความเชื่อหรือสภาวะของความเชื่อ ลัทธิความเชื่อนี้ได้ทำให้ความเชื่อเด่นขึ้นในรูปตรีเอกานุภาพ (สำหรับชาวคริสเตียน ชาวคริสตัง เรียกว่า ตรีเอกภาพ – Trinity) หรือการรวมกันเป็นหนึ่งในภาวะอันเป็นทิพย์สามภาวะ คือ พระบิดา พระบุตร (พระเยซู) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระเจ้าองค์เดียว ออกัสติน บิดาแห่งคริสตจักรจากแอฟริกาเหนือ สอนว่ามนุษย์ต้องการพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่จะได้รับความคุ้มครอง ต่อมาเขาก็สอนว่าคนไม่สามารถที่จะได้รับพระกรุณาคุณของพระเจ้าจนกว่าพวกเขาจะเป็นคริสตจักร
คริสตจักรยังได้พัฒนาพิธีกรรมทางศาสนาตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของพระเยซู การล้างบาป ซึ่งเป็นพิธีการทำให้บริสุทธิ์โดยน้ำ ได้ส่งสัญญาณการเข้ามาในคริสต์ของพระเยซู พิธีเป็นสัญลักษณ์การยอมรับผู้ศรัทธาทุกคนเข้ามาในศาสนา
เพื่อจะมีชีวิตอยู่แบบชีวิตคริสเตียนที่ดีเลิศและเพื่อเฉลิมฉลองการให้ศีลเหล่านี้พร้อมกัน ผู้ชายและผู้หญิงที่นับถือศาสนาคริสต์ ได้ก่อให้เกิดชุมชนที่เรียกว่า monasteries ขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าผู้ชายก็ได้เข้ามาสู่การบรรพชาที่สูงส่งของคริสตจักร กลายเป็นหัวหน้าบาทหลวง นักบวชและพระลูกวัด ศาสนาคริสต์เปลี่ยนจากนิกายขนาดเล็กไปสู่ศาสนาที่มีประสิทธิภาพ อุดมสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ศาสนาคริสต์เจริญขึ้น จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมลง
ภาพนกพิราบที่หน้าต่างกระจกมหาวิหารนักบุญเปโดร มักจะใช้เป็นสัญลักษณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ |
การเสื่อมโทรมและล่มสลายของจักรวรรดิ
ความอ่อนแอในจักรวรรดิ
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 จักรวรรดิยังคงดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนมีคนมากที่สุด แต่เริ่มจะมีปัญหาภายในคุกคามการดำรงอยู่ของกรุงโรมมาเรื่อย ๆ
กรุงโรมไม่สามารถหยุดการบุกรุกของชนเผ่าเจอร์มานิกที่บุกมาเป็นระลอก ๆ ได้ รูปปั้นทหารขี่ม้านี้ เป็นชนเผ่าเจอร์มานิก ที่เรียกกันว่า Lombards (ชนชาวแคว้นลอมบาร์ดี้) |
กำแพงเฮเดรียนในเกาะบริเตนเป็นเขตแดนทางตอนเหนือของจักรวรรดิโรมัน |
ปัญหาทางด้านการเมืองและสังคม ขนาดที่แท้จริงของจักรวรรดิโรมันทำให้ยากที่จะบริหาร เจ้าหน้าที่ของรัฐมีปัญหาในการรับข่าวเกี่ยวกับกิจการในภูมิภาคที่ห่างไกลของจักรวรรดิ นี่เองที่ทำให้มันยากขึ้นที่จะทราบว่าที่ใดมีปัญหาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนยังทุจริต แสวงหาเพียงเพื่อที่จะเสริมสร้างตัวเองให้ร่ำรวย ปัญหาทางการเมืองเหล่านี้ ได้ทำลายความรู้สึกความเป็นพลเมืองของผู้คน ชาวโรมันหลายคนไม่มีความรู้สึกในภาระหน้าที่ต่อจักรวรรดิอีกต่อไป ด้านอื่น ๆ ของสังคมโรมันยังได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน ค่าใช้จ่ายการศึกษาเพิ่มขึ้นจนชาวโรมันที่ยากจนเห็นว่ามันยากที่จะได้รับการศึกษา ประชาชนได้รับการพัฒนาทางด้านข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องประชาสังคมน้อยลง
กรุงโรมแบ่งออกเป็นตะวันออกและตะวันตก
การเปลี่ยนแปลงของจักรพรรดิที่เป็นไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลอ่อนแออีกด้วย ในช่วง 49 ปี ตั้งแต่ คริสต์ศักราช 235-284 โรมมีจักรพรรดิ 37 คน ในจำนวนนี้ 34 คน เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองหรือถูกลอบสังหาร เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจักรพรรดิบ่อยขึ้น ชาวโรมันจึงมีความสำนึกเล็กน้อยต่อการปกครองที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
การแบ่งแยกจักรวรรดิ ในคริสต์ศักราช 284 จักรพรรไดโอคลีเซียน (Diocletian - DY•uh•KLEE•shuhn) ได้ยึดอำนาจ พระองค์ได้ฟื้นฟูระเบียบให้กับจักรวรรดิโดยการปกครองด้วยกำปั้นเหล็กและทนความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไดโอเชียนได้เปลี่ยนแปลงวิธีการให้กองทัพดำเนินการโดยการวางกองกำลังอย่างถาวรที่พรมแดนจักรวรรดิ นอกจากนี้เขายังแนะนำให้ปฏิรูปเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น เพื่อช่วยในการเลี้ยงคนยากจน พระองค์ยังคงราคาอาหารให้ต่ำไว้
นอกจากนี้ ไดโอเชียนได้ตระหนักว่าพระองค์ไม่สามารถปกครองอาณาจักรขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในคริสต์ศักราช 285 พระองค์ได้แบ่งอาณาจักรออกเป็นส่วนตะวันออกและส่วนตะวันตก พระองค์เองปกครองส่วนทางทิศตะวันออก และได้เลือกพื้นที่นี้เพื่อความมั่งคั่งและการค้าขายที่ใหญ่ขึ้น และให้เป็นเมืองที่งดงาม ไดโอเชียนได้แต่งตั้งแม็กซิมิเลียน (Maximilian) ให้ปกครองจักรวรรดิตะวันตก บุรุษทั้งสองได้ปกครองเป็นเวลา 20 ปี
เมืองหลวงแห่งใหม่ ในคริสต์ศักราช 306 สงครามกลางเมืองได้ระอุไปทั่วจักรวรรดิ ผู้บัญชาการกองทัพสี่คน ได้ต่อสู้เพื่อการควบคุมส่วนแบ่งทั้งสองส่วน หนึ่งในผู้บัญชาการเหล่านี้ คือ คอนสแตนติน (Constatine) เขาได้เข้าควบคุมในช่วงสงครามกลางเมืองและกลายเป็นจักรพรรดิ
การกระทำที่สำคัญครั้งที่สองของคอนสแตนตินปรากฏในคริสต์ศักราช 330 เมื่อพระองค์ได้ย้ายเมืองหลวงของจักรวรรดิจากกรุงโรมไปยังเมืองกรีกโบราณ ชื่อ ไบแซนเทียม (Byzantium - bih•ZAN•shee•uhm) คอนสแตนตินได้เปลี่ยนชื่อเมือง เป็นคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ที่สี่แยกระหว่างตะวันออกและตะวันตก เมืองได้ตั้งอยู่อย่างมั่นคงเพื่อการป้องกันและการค้าขาย เมืองหลวงแห่งใหม่ ได้ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงอำนาจจากส่วนตะวันตกของจักรวรรดิไปยังส่วนตะวันออก
คอนสแตนติโนเปิล คือ เมืองอิสตันบูลของตุรกีในปัจจุบัน ในภาพจะมองเห็นสุเหร่าสีฟ้า (Blue Mosque) ในเมืองอิสตันบูล |
จักรวรรดิตะวันตกล่มสลาย
นอกจากปัญหาภายใน ชาวโรมันต้องเผชิญกับปัญหาที่สำคัญอีก กลุ่มชาวต่างชาติก็รุมล้อมอยู่รอบ ๆ ชายแดนของกรุงโรม ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้บุกรุก และจักรวรรดิที่เสื่อมลงอย่างช้า ๆ กลับหายนะอย่างรวดเร็ว
แผนที่การบุกรุกจักรวรรดิโรมัน ค.ศ. 350 - 500 |
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 3 กลุ่มชนดั้งเดิมนี้เริ่มผลักดันเข้าไปดินแดนโรมัน เหตุผลของการบุกรุกแตกต่างกัน บางคนมามองหาดินแดนที่ดีกว่าหรือหาวิธีการที่จะมีส่วนร่วมกับความมั่งคั่งของกรุงโรม คนอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก หนีกลุ่มผู้บุกรุกที่โหดร้ายจากเอเชียที่รู้จักกันว่าชาวฮั่น (Huns – เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศจีน)
กรุงโรมล่มสลาย ในคริสต์ศักราช 410 ประชาชนดั้งเดิม (คือชาวนอร์สเม็น หมายความว่า “ผู้มาจากทางเหนือ” และเป็นคำที่ใช้สำหรับชนนอร์ดิคที่เดิมมาจากทางตอนไต้และตอนกลางของสแกนดิเนเวีย ชาวนอร์สได้ตั้งถิ่นฐานและอาณาบริเวณการปกครองในดินแดนต่าง ๆ ที่รวมทั้งบางส่วนของหมู่เกาะฟาโร อังกฤษสกอตแลนด์ เวลส์ ไอซ์แลนด์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ รัสเซีย อิตาลี แคนาดา กรีนแลนด์ฝรั่งเศส ยูเครน เอสโตเนีย ลัตเวีย และ เยอรมนี) ได้โจมตีและปล้นกรุงโรม ปล้นหมายถึงการแย่งชิงหรือการถือเอาสิ่งต่าง ๆ โดยการบังคับขู่เข็ญ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กอลยึดกรุงโรม เมื่อ 390 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งผู้เข้ามารุกรานเป็นเผ่าเร่ร่อนที่เข้ามาสู่กรุงโรม ในที่สุด ชาวฮั่นก็จบุกรุกจักรวรรดิ ในคริสต์ศักราช 476 ชนเผ่าดั้งเดิมพิชิตโรม ยุคนี้นับเป็นการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
กระโหลกศีรษะชาวเจอร์มานิกยังมีเส้นผมติดอยู่ ขมวดผมเป็นลักษณะเฉพาะของชาวเจอร์มานิก |
หลังจากการล่มสลายของกรุงโรม การดำเนินชีวิตในยุโรปตะวันตก ได้เปลี่ยนแปลงไปหลายแนวทาง ถนนและอาคารสาธารณะอื่น ๆ ทรุดโทรมลง และการค้าและการพาณิชย์ได้เสื่อมลง ราชอาณาจักรดั้งเดิม ได้เรียกร้องสิทธิ์ดินแดนของชาวโรมันในอดีต และนิกายโรมันคาทอลิกก็รวมกันและมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าส่วนตะวันตกของจักรวรรดิได้ล่มสลาย ส่วนตะวันออกก็ยังคงอยู่รอด ซึ่งจักรวรรดินี้ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักกันว่า จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)
อาณาจักรไบแซนไทน์ (Byzantine)
คอนสแตนตินได้ย้ายเมืองหลวงจากจักรวรรดิไปยังไบแซนเทียม และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นกรุงคอนสแตนติโนเปิล นักประวัติศาสตร์ได้ตั้งชื่ออาณาจักรไบแซนไทน์ตามชื่อเดิมของเมือง
อาณาจักรยังคงอยู่ต่อไป
จักรวรรดิไบแซนไทน์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 1,000 ปีหลังจากที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย จักรพรรดิแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์เป็นผู้ปกครองเผด็จการ นั่นหมายความว่าเขามีอำนาจสิทธิขาด เช่นเดียวกับเหล่าจักรพรรดิของจักรวรรดิตะวันตก เหล่าจักรพรรดิไบแซนไทน์ก็พยายามที่จะให้ประชาชนดั้งเดิมและผู้บุกรุกอื่น ๆ ออกจากดินแดนของพวกเขา แม้จะมีความพยายามของพวกเขา ดินแดนไบแซนไทน์ส่วนมากก็ล่มสลาย
ภาพโมเสกของจักรพรรดิจัสติเนียน |
ฮาเยียโซเฟียหรือฮาเจียโซเฟีย สร้างโดยจักรพรรดิจัสติเนียน เป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในคอนสแตนติโนเปิล ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ในเมืองอิสตันบูล |
การอนุรักษ์วัฒนธรรมโรมัน จัสติเนียนได้รับการจดจำได้ดีที่สุดเกี่ยวกับประมวลกฎหมายที่ได้รับการพัฒนาในช่วงการปกครองของเขา เขาได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสร้างประมวลกฎหมายบนพื้นฐานของกฎหมายโรมัน ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้ละทิ้งกฎหมายที่ล้าสมัยและเขียนกฎหมายอื่น ๆ ขึ้นมาใหม่เพื่อทำให้กฎหมายเหล่านั้นชัดเจน ใหม่ ประมวลกฎหมายที่เหมือนกันนั้น เรียกว่า ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (Justinian Code) มันรวมถึงกฎหมายการแต่งงาน การเป็นทาส ทรัพย์สิน สิทธิสตรีและความยุติธรรมทางอาญา
แม้ว่าพวกเขาจะพูดภาษากรีก ชาวไบแซนไทน์ก็คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมประเพณีของชาวโรมัน นักเรียนนักศึกษาชาวไบแซนไทน์ วรรณกรรมและประวัติศาสตร์ละติน กรีกและโรมัน ด้วยวิธีนี้ อาณาจักรทางทิศตะวันออกก็ได้อนุรักษ์วัฒนธรรมกรีกและโรมันไว้ ในอาณาจักรทางทิศตะวันตกสมัยก่อน วัฒนธรรม ประชาชนดั้งเดิมได้ผสมผสานวัฒนธรรมโรมันกับวัฒนธรรมของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้สูญเสียความรู้ทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา ของชาวกรีกและโรมันเป็นอันมาก
---------------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
จักรพรรดินีธีโอโดรา (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช 500 – 548)
ภาพโมเสกจักรพรรดินีธีโอโดรา |
จัสติเนียนและธีโอโดรากลายเป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีในคริสต์ศักราช 527 ในคริสต์ศักราช 532 ผู้ก่อการจลาจลขู่ว่าจะคว่ำรัฐบาล ธีโอโดราได้กระตุ้นให้จัสติเนียนไม่ให้หนี ตัวเธอเองก็ไม่ยอมหนี ความกล้าหาญของเธอเป็นแรงบันดาลใจจัสติเนียนและแม่ทัพของเขาได้ตีกบฏให้พ่ายแพ้
ต่อมา ธีโอโดราได้ผ่านกฎหมายที่ช่วยเหลือหญิง ผู้หญิงที่หย่าร้างได้รับสิทธิมนุษยชนมากกว่า เธอได้ก่อตั้งบ้านเพื่อจะดูแลเด็กผู้หญิงที่ยากจน เธอยังได้เสนอการป้องกันชนกลุ่มน้อยทางศาสนาอีกด้วย
ธีโอโดรา ราชินีแห่งโรม มเหสีของพระเจ้าจัสติเนียน เกิดที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ราว ค.ศ. 508 บิดามีอาชีพเป็นคนเลี้ยงสัตว์ป่า และถูกหมีกัดตาย ธีโอโดรามีพี่น้อง 3 คน หลังพ่อตายเด็กทั้งสามจึงออกไปรับทำงานต่ำๆ ในโรงละครสัตว์เพื่อหาเงินเลี้ยงตนเองกับแม่
คนโรมันในนครแห่งนี้นับว่าเป็นผู้คลั่งไคล้การละเล่นต่าง ๆ มาก การจัดการแสดงจะต้องจัดที่ฮิบโดรม จะมีการจัดเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายสีเขียว และ ฝ่ายสีน้ำเงิน ที่ฮิปโดรมให้การสนับสนุน
ครอบครัวของธีโอโดร่าเดิม น่าจะมาจากไซปรัส หรือซีเรีย และเป็นชนชั้นต่ำเตี้ยที่สุดในบีแซนไทน์ พ่อของธีโอโดรา ทำงานฝ่ายสีเขียวเป็นคนเลี้ยงหมี แต่เขาก็ตเสียชีวิตไปเมื่อบุตรสาวผู้นี้อายุได้เพียง 5 ขวบเท่านั้น พอพ่อตาย ครอบครัวที่เหลืออยู่ ธีโอโดรา แม่ และพี่หนทางรอด
ทว่างานตำแหน่งคนเลี้ยงหมี ก็มีคนชิงตัดหน้า แม่ของธีโอโดราถึงขนาดโวยวายต่อหน้าฝูงชนเพื่อขอความเมตตา ทั้งสามแทบก้มกราบฝ่ายสีเขียวเพื่อขอความปรานี แต่ปรากฏว่ามือที่ยื่นมาช่วยกลับไม่ไช่คนของฝ่ายสีเขียว กลับเป็นคนของฝ่ายสีน้ำเงินที่ต้องการหักหน้า จึงรับสามีใหม่ของแม่ไว้ทำงาน
เมื่อธีโอโดราอายุ 10 ขวบ ก็เข้าทำงานกับสำนักนางคณิกากับพี่สาวพออายุได้ 12 ก็เริ่มฝึกเป็นนางละครถึงจะไม่มีชื่อเสียงว่าเป็นศิลปินเช่นกับคนอื่นๆ นางก็สามารถดึงดูดความสนใจจากบรรดาชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายที่พากันมาเป็นแขกของนางธีโอโดรารับแขกได้หลายคนตลอดวันอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มีรูปสวย ปัญญาดี แต่ธีโอโดราก็ไม่ได้ปล่อยจิตใจให้อยู่กับชายใดและมีความยินดีที่จะติดต่อกับชายคนใหม่ที่ดีกว่าต่อเสมอ มารดาของธีโอโดราเฝ้าตักเตือนให้นึกถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง แต่ธีโอโดราบอกกับแม่ของเธอว่าเธอยินดีจะต้อนรับทั้งความยินดีและความโชคร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ชื่อเสียงของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจนธีโอโดรากลายเป็นสาวสังคม ไม่ว่าจะมีงานอะไร ที่ไหน ธีโอโดราถูกจ้างให้ไปเเสดง
เมื่ออายุได้ 15 ธีโอโดรา กลายเป็นดาวรุ่งคนใหม่ของฮิปโปโดรม ไม่เพียงแต่ร้องเพลงเก่ง เต้นรำได้ แต่เธอเป็นนักเล่าเรื่องขบขันและล้อเลียนที่ประชาชนนิยมชมชอบด้วย ยิ่งกว่านั้น เธอยังเป็นนักระบำเปลื้องผ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วนคร
ธีโอโดรา ทำเงินจากการเป็นนักระบำเปลื้องผ้ามากมาย ยิ่งกว่านั้น เธอยังยอมเป็นโสเภณีตามคำชักชวนของแอนโตนินา ผู้เป็นหัวหน้าสำนักโสเภณี ที่ชักชวนให้เธอเข้าสู่โสเภณีอาชีพชั้นสูง นางใช้ชีวิตวนเวียนอยู่เช่นนี้หลายปี จนเป็นที่รู้จักในหมู่ขุนนางและพ่อค้าผู้ร่ำรวย
แต่สำหรับธีโอโดราแล้ว ชื่อเสียงที่ปรากฎ หรือเงินทองที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ได้ทำให้เธอพอใจ ในทางตรงกันข้าม เธอพยายามจับผู้ชายรวย ๆ เพื่อให้ชีวิตยามขาลงยังคงสบายเหมือนเดิม แม้จะมีกฎต้องห้ามว่า ห้ามนักแสดงหรือโสเภณีแต่งงานกับชายสูงศักดิ์ แต่นางก็ไม่ยอมปล่อยใจกับผู้ชายทุก ๆ คนที่ได้พบปะพูดคุย...
ในที่สุด โชคชะตาก็นำพาเธอให้ไปได้ดีกับพ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครแอนทิอ็อค ทว่า หลังจากทราบว่าธีโอโดรากำลังตั้งครรภ์ เขาก็ตัดสินใจทิ้งเธอไปในทันที ธีโอโดราเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่า นางกลับกระทำสิ่งที่เห็นแก่ตัวไม่แพ้กัน โดยการทิ้งบุตรชายที่พึ่งถือกำเนิดไว้หน้าประตูบ้าน แล้วก็ออกเดินทางค้นหาสิ่งที่ต้องการต่อไป
ธีโอโดราได้ท่องเที่ยวไปทั่วทั้งเมดิเตอเรเนียน กับคนรักที่มากหน้าหลายตา ทั้งนครอเล็กซานเดรียและเมืองเบงกาซี ที่อยู่ทางตอนเหนือของลิเบีย ณ ที่แห่งนี้เองที่นางพบกับ "เฮเคโบลัส" ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการแห่งแพนธาโดพลิส ในวันที่มีงานเลี้ยงฉลองที่เขาได้รับตำแหน่งใหม่และธีโอโดราจึงถูกเชิญไปในงานนี้การพบกับเฮเคโบลัสทำให้ความตั้งใจเปลี่ยนไปเธอยอมเป็นภรรยาของเขาพร้อมทั้งอยู่กินกับเขาอย่างเงียบๆ
ไม่นานนักธีโอโดราจึงเกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องถูกทิ้งที่ต้องอยู่ตามลำพังเธอจึงตัดสินใจแอบติดสินบนให้หัวหน้าคนใช้หาชายหนุ่มมาพูดคุยกับนางตอนที่สามีไม่อยู่บ้าน เฮเคโบลัสได้เห็นเข้าในวันหนึ่ง นางจึงถูดทอดทิ้งและไม่ให้เงินแม้แต่บาทเดียวนางจึงไปหาเพื่อนของนางเซโดเนียที่เคยแสดงละครด้วยกัน
ธีโอโดรา กลับจากคอนสแตนติโนเปิล ก็ไม่ได้กลับไปทำงานที่ฮิปโปโดรมอีก แต่ซื้อบ้านเล็ก ๆ ใกล้กับพระราชวัง ปั่นขนสัตว์ขายเลี้ยงชีพ แต่แล้วโชคชะตากลับไม่ได้ปล่อยให้เธอตกอับอยู่นาน
เมื่ออายุได้ 25 ปี ก็ได้พบจัสติเนียน เป็นครั้งแรก ในฐานะที่จัสติเนี่ยนเป็นทั้งผู้สูงศักดิ์และกงสุลผู้ให้การสนับสนุนสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทำให้เขาได้พบกับธีโอโดรา ตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุได้ 40 พรรษา แก่กว่าธีโอโดรา 15 ปี พระองค์ทรงพระทัยเย็น ทรงเป็นนักอนุรักษ์ แต่ก็ทะเยอทะยาน ที่สำคัญทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาทของพระปิตุลาหรือองค์จักรพรรดิจัสติน
ทรงรับนางเข้ามาเป็นสนมลับในวังทันที พระองค์ทรงเห็นว่าธีโอโดราเป็นส่วนเติมเต็มในสิ่งที่พระองค์ขาด ทรงเป็นคนฉลาด คาดคะเนเก่ง อดทน และเป็นนักยุทธศาสตร์ แต่ขาดความมั่นใจในการตัดสินใจ ไม่เหมือนกับธีโอโดรา ที่ทุกอย่างของนางปราศจากความกลัว เธอจึงเป็นเหมือนส่วนเติมเต็ใของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงเกิดความรักในกันและกันอย่างลึกซึ้ง
แต่ทว่า ความคิดที่ว่าไม่อาจเป็นไปได้ด้วยกฎข้อห้าม ว่าชายสูงศักดิ์ห้ามแต่งงานกับนักแสดง จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจัสติเนี่ยนจึงแก้ปัญหาด้วยการเพียรพยายามข้อร้องให้องค์จักรพรรดิจัสตินเปลี่ยนกฎ จนในที่สุด ความพยายามก็เป็นผลสำเร็จใน ค.ศ.524 ทั้งสองทรงอภิเษกสมรสกันในปี ค.ศ. 525 ในโบสถ์ที่สง่างามแห่งซานตา โซเฟียในคอนสแตนติโนเปิล
สองปีต่อมา จักรพรรดิจัสติน ทรงประชวร ได้สถาปนา พระเจ้าจัสติเนี่ยนขึ้นครองราชย์ โดยปกครองร่วมกับพระองค์ และธีโอโดราจึงได้เป็นราชินี ทำให้เธอมีชื่อเสียงมาก เพราะเธอไม่ใช่ราชินีธรรมดา เธอเฉลียวฉลาดจึงเป็นที่ปรึกษาที่ดีของสามี แต่นางเป็นคนโลภมากและขี้อิจฉา ไม่ต้องการใครดีไปกว่าตน เมื่อเห็นใครดีกว่าผู้นั้นจะถูกฆ่าตายด้วยการวางยาพิษหรือจับถ่วงน้ำ หรือไม่ก็เชิญให้เป็นแขกผู้มีเกียรติด้วยการมอมเหล้าให้คนฆ่าตาย พระนางสิ้นเมื่ออายุได้ 40 ปี ที่ตำบลปี่เนียนเป็นที่พระองค์ทรงเสด็จไปรักษาตัว
สองปีต่อมา จักรพรรดิจัสติน ทรงประชวร ได้สถาปนา พระเจ้าจัสติเนี่ยนขึ้นครองราชย์ โดยปกครองร่วมกับพระองค์ และธีโอโดราจึงได้เป็นราชินี ทำให้เธอมีชื่อเสียงมาก เพราะเธอไม่ใช่ราชินีธรรมดา เธอเฉลียวฉลาดจึงเป็นที่ปรึกษาที่ดีของสามี แต่นางเป็นคนโลภมากและขี้อิจฉา ไม่ต้องการใครดีไปกว่าตน เมื่อเห็นใครดีกว่าผู้นั้นจะถูกฆ่าตายด้วยการวางยาพิษหรือจับถ่วงน้ำ หรือไม่ก็เชิญให้เป็นแขกผู้มีเกียรติด้วยการมอมเหล้าให้คนฆ่าตาย พระนางสิ้นเมื่ออายุได้ 40 ปี ที่ตำบลปี่เนียนเป็นที่พระองค์ทรงเสด็จไปรักษาตัว
---------------------------------------------
การแบ่งแยกจักรวรรดิยังเกิดผลกระทบศาสนาคริสต์ด้วย การปฏิบัติทางศาสนาต่าง ๆ ได้พัฒนาในโบสถ์คริสต์ในจักรวรรดิตะวันออกและตะวันตก การปฏิบัติทางวัฒนธรรมและการติดต่อจำกัด ระหว่างสองภูมิภาคก่อให้เกิดความแตกต่างเหล่านี้
การแยกนิกาย ความแตกต่างอย่างหนึ่งจะต้องทำกับเจ้าหน้าที่ของจักรพรรดิในเรื่องคริสตจักร ในจักรวรรดิตะวันออก จักรพรรดิมีอำนาจเหนือหัวของคริสตจักร ในจักรวรรดิตะวันตกไม่มีจักรพรรดิ เป็นผลให้สมเด็จพระสันตะปาปาเริ่มอุปโลกน์ความรับผิดชอบมากในฐานะผู้นำของจักรวรรดิตะวันตกในอดีต
ปัญหาระหว่างนิกายทั้งสองเริ่มที่จะเติบโตขึ้น สมเด็จพระสันตะปาปา อ้างว่าเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเหนือนิกายทั้งในจักรวรรดิตะวันตกและตะวันออก อย่างไรก็ตาม เหล่าจักรพรรดิไบแซนไทน์คิดว่าพระองค์เองเป็นผู้มีอำนาจคนสุดท้ายในเรื่องศาสนา ผู้ได้รับมอบหมายจากสมเด็จพระสันตะปาปาพยายามที่จะเคลื่อนย้ายหัวหน้าทางนิกายตะวันออก นิกายทางตะวันออกได้ตอบโต้โดยการปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปา
สุดท้าย ในคริสต์ศักราช 1054 นิกายในคริสต์ศาสนาได้แบ่งออกเป็นสองนิกาย คือ นายกายตะวันตก ที่รู้จักกันว่า นิกายโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) และสาขาของคริสต์ศาสนาที่พัฒนาในจักรวรรดิโรมันตะวันออก รู้จักกันว่า นิกายออร์ธอดอกซ์ตะวันออก (Eastern Orthodox Church) ออร์โธดอกซ์ หมายถึง "การถือครองความเชื่อที่จัดตั้งขึ้นแล้ว” เมื่อเวลาผ่านไป การแตกแยก ได้นำไปสู่การพัฒนาของอารยธรรมยุโรปแยกจากกันสองสาย สายหนึ่งอยู่ในตะวันออกและสายหนึ่งอยู่ในตะวันตก
ศาสนาและรัฐ หลังจากที่แยกเป็นสองนิกาย สมเด็จพระสันตะปาปาก็อ้างว่ามีอำนาจเหนือจักรพรรดิและพระมหากษัตริย์ชาวคริสเตียน อำนาจนี้อนุญาตให้นิกายโรมันคาทอลิกมีอิทธิพลต่อรัฐบาลซึ่งอยู่ในดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ความขัดแย้งระหว่างคริสต์จักรกับพระมหากษัตริย์และจักรพรรดิบางคนของยุโรปตะวันตกจะก่อให้เกิดความขัดแย้งที่สำคัญในเวลาต่อมา
ดังที่ได้ทราบแล้ว จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นผู้ปกครองเผด็จการ เขามีอำนาจเหนือคริสตจักรเช่นเดียวกับที่มีเหนือรัฐบาล นั่นหมายความว่าพระมหากษัตริย์ปกครองพระสังฆราช ซึ่งเป็นผู้นำของนิกายออร์ธอดอกซ์ตะวันออก กล่าวโดยสรุป เหล่าจักรพรรดิไบแซนไทน์มีอำนาจมากกว่าจักรพรรดิหรือกษัตริย์ในจักรวรรดิตะวันตก
----------------------------------------------------------------------
เปรียบเทียบนิกายทั้้้งสองของศาสนาคริสต์
โรมันคาทอลิก
|
ทั้งสองนิกาย
|
อิสเทิร์นออร์ทอดอกซ์
|
1. ผู้นำทางศาสนา เรียกว่า สมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) มีอำนาจเหนือบิชอป
|
1. ศรัทธาในพระเยซูและคัมภีร์ไบเบิล
|
1. ผู้นำเรียกว่าพระสังฆราช(Patriarch) และบิชอปบริหารคริสตจักรเป็นกลุ่ม
|
2. สมเด็จพระสันตะปาปา มีอำนาจเหนือกษัตริย์และจักรพรรดิทั้งหมด
|
2. ผู้นำเป็นพระและบิชอป
|
2. จักรพรรดิมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ของคริสตจักร
|
3. พระอาจจะไม่แต่งงาน
|
3. ทั้งสองนิกายต้องการเปลี่ยนคนให้มานับถือศาสนาคริสต์
|
3. พระอาจจะแต่งงาน
|
4. ใช้ภาษาละติน
|
4. ใช้ภาษาท้องถิ่น เช่น กรีก รัสเซีย ฯลฯ
|
จักรวรรดิไบแซนไทน์ล่มสลาย
หลังจากจักรพรรดิจัสติเนียนสิ้นพระชนม์ในคริสต์ศักราช 565 จักรวรรดิไบแซนไทน์ประสบความเสื่อมเป็นอันมาก มีการจลาจลบนถนน การทะเลาะทางศาสนา สงครามแย่งราชบัลลังก์และโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้อาณาจักรก็เผชิญกับภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องจากศัตรูต่างชาติ
การโจมตีมาจากทุกทิศทุกทาง ชนชาวสลาฟได้ทำการโจมตีพรมแดนทางภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง ชาวเปอร์เซียที่เกรียงไกรได้โจมตีทางทิศตะวันออก ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ศาสนา ที่เรียกว่า อิสลาม เกิดขึ้นในอารเบีย กองทัพอาหรับ ได้ลุกขึ้นและโจมตีดินแดนใกล้เคียงและกรุงคอนสแตนติโนเปิล ต่อมา สงครามกลางเมือง ตลอดจนการโจมตีของพวกเติร์กและพวกเซิร์บ ทำให้จักรวรรดิอ่อนแอมากขึ้น
จักรวรรดิไบแซนไทน์ค่อย ๆ หดตัวภายใต้ผลกระทบของการโจมตีเหล่านี้ ประมาณคริสต์ศักราช 1350 ส่วนที่เหลือเป็นส่วนเล็ก ๆ ของคาบสมุทรอนาโตเลียและดินแดนแถบทะเลดำและทะเลอีเจียนยังคงหลงเหลืออยู่ กำแพงเมือง กองทัพเรือ และสถานที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิล ได้ยืนหยัดมาอีก 100 ปี สุดท้ายในคริสต์ศักราช 1453 กองทัพของพวกเติร์กก็ได้ยึดเมืองหลวง การพิชิตเมืองเป็นจุดจบของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ประมาณพันปีหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก
ม้าแห่งมหาวิหารซันมาร์โก (Horses of St. Mark's Basilica) ในระหว่างการโจมตีในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ชาวเมืองเวนิซได้ยึดม้าสัมฤทธิ์เหล่านี้ จากกรุงคอนสแตนติโนเปิลและนำกลับไปยังเมืองเวนิซ |
มรดกของโรม
ดังที่ได้ทราบแล้วว่า กรีซเป็นอารยธรรมที่โดดเด่นที่สุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก่อนโรมัน ชาวโรมันพิชิตกรีก แต่ลึก ๆ แล้วก็ได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมของกรีก
วัฒนธรรมโรมันขึ้นอยู่กับคุณค่าของความแข็งแรง ความจงรักภักดีและการปฏิบัติจริง ชาวโรมันได้รับความคิดของกรีกเกี่ยวกับการเขียนและอุดมคติทางศิลปะแห่งความงามที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ศิลปินและนักเขียนโรมัน ได้สร้างสไตล์เป็นของตนเอง ผลที่ได้เป็นวัฒนธรรมที่ผสมผสานการปฏิบัติจริงของโรมันกับองค์ประกอบของอุดมคตินิยมของกรีก
ศิลปะ ชาวโรมันนิยมประเภทของศิลปะก่อนหน้านี้ที่เรียกว่า โมเสค (Mosaic) โมเสค คือ ภาพที่ทำขึ้นโดยการวางหิน กระเบื้องหรือกระจกสีชิ้นเล็ก ๆ บนพื้นผิว ตัวอย่างของโมเสคสามารถพบได้ในโบสถ์และอาคารอื่น ๆ ทั่วโลก
ชาวโรมันได้เรียนรู้เกี่ยวกับประติมากรรมจากกรีก แต่ไม่ปฏิบัติตามประเพณีของกรีกที่แสดงรูปแบบมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ชาวโรมันสร้างประติมากรรมที่เป็นจิตรกรรมที่เหมือนจริงเป็นรูปปั้นนูนต่ำ (bas-relief - BAH rih•LEEF) ปฏิมากรรมที่ยกขึ้นเล็กน้อยจะโดดเด่นบนพื้นหลังที่ราบเรียบ ในรูปปั้นนูนต่ำ
ภาพโมเสก เป็นศิลปะการตกแต่งด้วยชิ้นแก้ว, หิน, หรือกระเบื้องชิ้นเล็ก ๆ ภาพโมเสกของชาวโรมันนี้ค้นพบที่ซีเรีย |
ดังที่ได้ทราบแล้วว่า งานเขียนและสุนทรพจน์ของซิเซโร (Cicero) ให้ภาพของชีวิตโรมันและเพิ่มความรู้แก่เราด้านประวัติศาสตร์โรมัน ซิเซโรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุนทรพจน์ ซึ่งเป็นศิลปะการพูดในที่สาธารณะ สุนทรพจน์ คือ วิธีการที่สำคัญในการชักชวนสำหรับนักการเมืองโรมัน
ชาวโรมันยังเขียนเกี่ยวกับปรัชญาอีกด้วย จักรพรรดิ มาร์กุส เอาเรลิอุส (Marcus Aurelius) ได้เขียนงานชิ้นสำคัญ“Meditations” ซึ่งเป็นผลงานที่อธิบายแนวความคิดของลัทธิสโตอิก (Stoicism - STOH•ih•SIHZ•uhm) ลัทธิสโตอิก ที่พัฒนาขึ้นโดยนักปรัชญากรีก เน้นความสำคัญของคุณธรรม ความรับผิดชอบและความอดทนในการใช้ชีวิต
ภาษา ละติน (Latin) ซึ่งเป็นภาษาของกรุงโรม เป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่ยั่งยืนของวัฒนธรรมโรมัน เมื่อเวลาผ่านไปละตินกลายเป็นกลุ่มของภาษาที่เรียกว่า ภาษาโรแมนติก (Romance languages) (คำว่า Romance มาจากคำว่า Roman) ปัจจุบันนี้ ภาษาโรแมนติก ได้พูดกันในหลาย ๆ ประเทศที่มีดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยปกครองโดยโรม
เปรียบเทียบรากศัพท์ที่มาจากภาษาละตินของคำในกลุ่มภาษาโรมานซ์ (Romance Words)
ภาษา
|
พ่อ
|
ดี
|
ชีวิต
|
แม่
|
อังกฤษ
|
father
|
good
|
life
|
mother
|
ละติน
|
pater
|
bonus
|
vita
|
mater
|
สเปน
|
padre
|
bueno
|
vida
|
madre
|
ฝรั่งเศส
|
pѐre
|
bon
|
vie
|
mѐre
|
โปรตุเกส
|
pai
|
bom
|
vida
|
mᾶe
|
อิตาลี
|
padre
|
buono
|
vita
|
madre
|
โรมาเนีย
|
tᾶta
|
bun
|
viatậ
|
mamậ
|
ต้นฉบับระบายสีประกอบนี้เขียนเป็นภาษาละตินในประเทศงกฤษ ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 |
สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม
สถาปัตยกรรมกรีกโรมันมีอิทธิพลกับสิ่งก่อสร้างโรมัน ดังที่ได้ทราบแล้วเกี่ยวกับรูปแบบอาคารกรีก ที่มีการใช้เสาหิน จั่ว และสัดส่วนที่สง่างาม ชาวโรมันใช้องค์ประกอบเหล่านี้ แต่เพิ่มความคิดของตัวเองเข้าไปด้วย ผู้ชมจากทั่วทุกมุมอาณาจักรประหลาดใจสถาปัตยกรรมของกรุงโรม โค้งโดมและคอนกรีตมารวมกันสร้างโครงสร้างอันน่าตื่นเต้น เช่น โคลอสเซียม (Colosseum)
รูปแบบใหม่ของสถาปัตยกรรม สถาปนิกผู้สร้างโรมันเป็นวิศวกรที่ยอดเยี่ยม พวกเขาพบวิธีการใหม่ในการปรับปรุงโครงสร้างของอาคาร ความคิดเหล่านี้รวมถึงซุ้มประตู หลังคาโค้ง และโดม หลังคาโค้ง คือ เส้นโค้งที่ก่อรูปแบบเป็นเพดานหรือหลังคา
การพัฒนาในการก่อสร้างอาคารของชาวโรมันทำให้มีศักยภาพในการสร้างอาคารขนาดใหญ่สูง อาคารสมัยใหม่มากมาย ได้ยืมองค์ประกอบของการออกแบบและโครงสร้างของชาวโรมัน โดมของอาคารหน่วยงานของรัฐในสหรัฐฯ (the Dome of the U.S. Capitol Building) เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดี
วัสดุก่อสร้างใหม่ ชาวโรมันได้พัฒนารูปแบบคอนกรีตที่ทั้งเบาและแข็งแรง พวกเขาเทส่วนผสมลงในกำแพงกลวงหรือบนรูปแบบโค้งเพื่อจะสร้างหลังคาโค้งที่แข็งแกร่ง คอนกรีต คือ วัสดุก่อสร้างทั่วไปในปัจจุบันนี้
ท่อระบายน้ำ ดังที่ได้ทราบแล้วว่า ชาวโรมันสร้างท่อระบายน้ำขึ้นเพื่อนำน้ำไปยังเมือง ท่อระบายน้ำหลักสิบเอ็ดท่อ ได้นำน้ำไปยังกรุงโรม ท่อน้ำที่ยาวที่สุด ยาว 57 ไมล์ ท่อน้ำยังสามารถพบได้ในประเทศฝรั่งเศสและสเปน ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน
ถนน ชาวโรมันมีชื่อเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคุณภาพของถนนของพวกเขา ในช่วงเวลา 312 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันได้สร้างถนนเส้นแรกในบรรดาถนนหลายสายขึ้น เรียกว่า แอปเปียนเวย์ (Appian Way) และทอดตรงไปยังตะวันออกเฉียงใต้จากกรุงโรม ในเวลานั้น ระบบของถนนทอดกระจายไปทั่วจักรวรรดิ โรมเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายนี้
ถนนของโรมันหลายสาย สร้างขึ้นเพื่อให้ทหาร สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็วไปยังสถานที่ในอาณาจักรที่พวกเขาต้องการ ระบบถนนยังเพิ่มการค้าขายขึ้น เพราะเหล่าพ่อค้าและนักธุรกิจ สามารถขนย้ายสินค้าของพวกเขาได้ง่ายขึ้น แม้ว่าระบบถนนได้ช่วยเชื่อมจักรวรรดิโรมันเข้าด้วยกัน มันก็เป็นการง่ายขึ้นสำหรับศัตรูของจักรวรรดิที่จะการบุกรุก
อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ทิ้งเครื่องหมายผ่านความคิดและสิ่งของที่เราสามารถสัมผัสและเห็นได้ จักรวรรดิโรมันสร้างคุณูปการที่ยั่งยืนในสาขาวิชาศาสนาและกฎหมาย
การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จักรวรรดิโรมันมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ มิชชันนารีชาวคริสต์ได้เปลี่ยนคนในจักรวรรดิเป็นอันมากมานับถือศาสนาคริสต์ และถึงแม้ว่าผู้นำชาวโรมันจะต่อต้านศาสนาคริสต์ในช่วงแรก ๆ ต่อมา พวกเขาก็อ้าแขนรับคำสอนของศาสนาคริสต์และทำให้เป็นศาสนาอย่างเป็นทางการ ในฐานะที่เป็นอาณาจักรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในเวลานั้น โรมได้ช่วยพัฒนาให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สำคัญ
ปฏิมากรรมแห่งความยุตินี้ตั้งอยู่บนยอดตึกศาลของสหรัฐ (Court House) มีตราชั่งวัดความผิดและความถูก ดาบเอาไว้ตัดสินความผิด ผ้าปิดตา หมายความว่า ความยุติธรรมเป็นความเสมอภาค |
เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกตกล่มสลาย คริสต์ศาสนาก็รุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องในดินแดนอดีตของจักรวรรดิ พระราชาและพระราชินีดั้งเดิมกลายเป็นคริสเตียน นอกจากนี้จักรวรรดิไบแซนไทน์ก็ได้ส่งเสริมศาสนาคริสต์ในจักรวรรดิตะวันออก ศาสนาคริสต์จึงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบัน ผู้คนประมาณหนึ่งในสามในโลกเป็นชาวคริสเตียน
กฎหมายและรัฐบาลโรมัน บางทีมรดกที่ยั่งยืนและแพร่กระจายอย่างกว้างขวางมากที่สุดของกรุงโรม ก็คือระบบของกฎหมาย ผู้พิพากษาและผู้นำทางการเมืองชาวโรมัน ได้จัดตั้งกฎหมายที่สะท้อนให้เห็นอุดมการณ์สโตอิกเกี่ยวกับหน้าที่และคุณธรรม พวกเขาเน้นความเป็นธรรมและสามัญสำนึก
กฎหมายโรมันได้ส่งเสริมหลักการปฏิบัติเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายและข้อสันนิษฐานว่าผู้ ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมเป็นผู้บริสุทธิ์ หลักการของกฎหมายโรมันได้ยั่งยืนก่อเป็นรูปแบบของระบบกฎหมายในหลายประเทศในยุโรปและในประเทศสหรัฐอเมริกา ในที่สุด กรุงโรมได้จัดตั้งรูปแบบรัฐบาลโดยผู้แทนราษฎรที่หลายประเทศใช้อยู่ในปัจจุบัน โรมได้เริ่มต้นในฐานะเป็นสาธารณรัฐซึ่งประชาชนทั่วไปถืออำนาจมาก ในระหว่างเวลานี้ ชาวโรมันได้จัดตั้งสภาต่าง ๆ ขึ้น รวมทั้งวุฒิสภาเพื่อออกกฎหมายและแสดงความคิดเห็นของประชาชน ปัจจุบันนี้ สภามีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ในสหรัฐอเมริกาสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา คือ สภาที่เป็นตัวแทนหลักทั้งสองสภาของประเทศ พลเมืองของประเทศเลือกตั้งสมาชิกสภาและวุฒิสภา สมาชิกของแต่ละสภา ทำงานรังสรรค์และผ่านกฎหมายตามความต้องการของประชาชนที่พวกเขาเป็นตัวแทน
อิทธิพลของโรมันในปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกาได้ยืมแนวความคิดบางอย่างของชาวโรมันเกี่ยวกับโครงสร้างของการปกครอง แต่ชาวโรมันยังมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในประเทศสหรัฐอเมริกาในรูปแบบอื่น ๆ แนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและการสร้างถนนสามารถเห็นได้ในอาคารและระบบทางหลวงของสหรัฐ แนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับการปกครองและความเป็นพลเมืองก็ยังเหลือเป็นมรดกที่สำคัญ
โดม
โดมสถาปัตยกรรมโรมัน |
อดีต สถาปนิกโรมันทดลองใช้รูปโค้งเป็นวงกลมเป็นชุด ๆ ในการสร้างโดม โดมของวิหารแพนนธีอัน สูง 142 ฟุต วิหารแพนธีอันสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้า ต่อมาก็กลายเป็นคริสตจักรและในที่สุดก็เป็นวิหารแห่งชาติในอิตาลี
โดมตึกรัฐสภาแห่งสหรัฐ |
ปัจจุบัน สถาปัตยกรรมสำหรับตึกรัฐสภาของสหรัฐฯ ใช้แนวความคิดของโดมโรมัน โดมของรัฐสภา สูง 287 ฟุต เสริมยอดด้วยรูปปั้นสูงเกือบ 20 ฟุตที่เรียกว่าอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ
ความแข็งแกร่งของโดมเหมือนกับไข่ ถ้าเราเอามือกดไข่ตามแนวตั้ง ไข่จะไม่แตก (เหมือนภาพ) |
ถนน
ถนนของโรมันโบราณ |
อดีต ถนนโรมันสร้างขึ้นเพื่อให้กองกำลังทหารสามารถเคลื่อนทัพได้อย่างง่ายดายทั่วจักรวรรดิ ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน จักรวรรดิโรมันมีถนนสายหลัก 372 เส้น ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 53,000 ไมล์
ระบบถนนในสหรัฐ |
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ยังอยู่ในความขับเคลื่อน มีถนนยาวเกือบ 4 ล้านไมล์ ระบบระหว่างรัฐครอบคลุม 46,467 ไมล์
ความเป็นพลเมือง
รูปปั้นเซเนกา |
อดีต ชาวโรมันมากมายมีความรู้สึกที่แข็งแกร่งแห่งความเป็นพลเมืองหรือความมุ่งมั่นที่จะช่วยกันและสังคม ความรู้สึกของหน้าที่นี้ถูกปลูกฝังโดยนักปรัชญาสโตอิกส์แห่งโรมัน เช่น เซเนกา เซเนกาและสโตอิกกลุ่มอื่น ๆ สนับสนุนประชาชนให้ใช้บทบาทอย่างแข็งขันในกิจการสาธารณะ
การลงคะแนนเสียงในสหรัฐ แสดงหน้าที่ความเป็นพลเมือง |
ปัจจุบัน แนวความคิดของลัทธิสโตอิกเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของประชาชนยังคงช่วยส่งเสริมความเป็นพลเมือง ตัวอย่างของการเป็นพลเมืองที่ดีในประเทศสหรัฐอเมริการวมถึงการลงคะแนนและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม เช่น การรีไซเคิล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น