จีนสมัยโบราณ
จีนสมัยโบราณ
สัณฐานทางภูมิศาสตร์ของจีนสมัยโบราณ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศจีน
ประเทศจีนก็มีรูปแบบทำนองเดียวกันกับลุ่มแม่น้ำในเมโสโปเตเมีย อียิปต์และลุ่มแม่น้ำสินธุ อารยธรรมของจีนได้รับการพัฒนาเพราะแม่น้ำสองสายนำน้ำและตะกอนที่ทำให้การทำเกษตรกรรมมีศักยภาพ เมืองหลายเมืองเติบโตไปตามริมฝั่งแม่น้ำ
แผนที่ลำดับเหตุการณ์จีนสมัยโบราณและโลก |
แผนที่จีนสมัยโบราณ 1,523 - 221 ปี ก่อน ค.ศ. |
แผนที่ลำดับเหตุการณ์จีนสมัยโบราณและโลก |
ภาชนะใส่เครื่องดื่มแห่งราชวงศ์ชาง เป็นผลงานด้านสัมฤทธิ์อันยอดเยี่ยม |
ทะเลทรายโกบี เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก |
จีนถูกแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวทางภูมิศาสตร์ ซึ่งแตกต่างจากภูมิภาคของแม่น้ำไนล์และดินแดนพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ ที่อารยธรรมมีความสัมพันธ์กันบ่อย ๆ เทือกเขาขนาดใหญ่ ทะเลทรายอันกว้างใหญ่และความกว้างใหญ่มหาศาลของน้ำทำหน้าที่เป็นอุปสรรคระหว่างจีนและดินแดนอื่น ๆ นี่เองที่ทำให้การแพร่กระจายของความคิดและสินค้าไปยังจีนเป็นไปได้ยาก เป็นผลให้อารยธรรมจีนพัฒนาไปตามสายที่แตกต่างกันมาก มีอิทธิพลด้านนอกเล็กน้อยที่มาก่อรูปร่างวัฒนธรรมของจีน
ระบบแม่น้ำสองระบบ แม่น้ำสายสำคัญสองสายไหลไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก แม่น้ำฉางเจียง (Chang Jiang หรือ chahng jyahng) หรือแม่น้ำแยงซี (Yangtze River) ค้นพบในภาคกลางของจีน แม่น้ำหวงเหอ (Huang He หรือ hwahng huh - หรือไทยออกเสียง ฮวงโห) ซึ่งไหลไปทางทิศเหนือยังเป็นที่รู้จักกันอีกว่า แม่น้ำเหลือง (Yellow River)
ในสมัยโบราณ การทำการเกษตรของจีนส่วนใหญ่ทำในผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มากอยู่ระหว่างแม่น้ำฉางเจียงและแม่น้ำหวงเหอ กระแสน้ำของแม่น้ำสองสายได้ทิ้งตะกอนสีเหลืองที่ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ ดินแดนแห่งนี้เรียกว่า ที่ราบจีนภาคเหนือ (North China Plain) เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมจีนตลอดมา
สภาพภูมิอากาศที่หลากหลาย ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน คล้ายกับประเทศสหรัฐอเมริกามาก ภาคตะวันตกของจีนแห้งแล้งคล้ายภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา เพราะส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายและภูเขาที่มีประชากรเบาบางและมีพื้นที่เพาะปลูกที่สามารถใช้งานได้น้อย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนมีฤดูกาลคล้ายกับนิวอิงแลนด์ ที่มีฤดูหนาวที่หนาวเย็นและฤดูร้อนที่อบอุ่น ในทางตรงกันข้าม ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นเหมือนภาคใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีฤดูหนาวและฤดูร้อนแผ่ว ๆ ในช่วงฤดูร้อนก็มีฝนปรอย ๆ ภูมิอากาศที่แตกต่างกันเหล่านี้ช่วยให้จีนผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารที่หลากหลาย ข้าวปลูกในภาคใต้อันชุ่มชื้น ในขณะที่ข้าวสาลี ถั่วเหลือง และข้าวฟ่างปลูกในดินแดนทางเหนือที่แห้งแล้งกว่า
-------------------------------------------------------------
เขื่อนสามหุบเขา (Three Gorges Dam)
เขื่อนสามหุบเขา (Three Gorges Dam) |
แม่น้ำฉางเจียงก่อผลประโยชน์ให้กับจีน โดยการทำให้พื้นที่การเกษตรอุดมสมบูรณ์และการขนส่งภายในประเทศ ยังทำให้เกิดน้ำท่วมอันแสนสาหัสอีกด้วย ในปีคริสต์ศักราช 1993 รัฐบาลจีนเริ่มก่อสร้างเขื่อนสามหุบเขา (หรือเขื่อซานเสียต้าป้า) รัฐบาลบอกว่าเขื่อนจะเริ่มต้นใช้การในปี ค.ศ. 2009 จะช่วยให้การควบคุมน้ำท่วมและผลิตพลังงาน อย่างไรก็ตาม ประชาชนมากกว่า 1 ล้านคนได้มีการย้ายออกจากพื้นที่ ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสิ่งแวดล้อมของเขื่อนอีกด้วย
----------------------------------------------------------------------------------------
ราชวงศ์ชาง (Shang)
ประมาณ 2,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชุมชนเกษตรกรรมตามฝั่งแม่น้ำหวงเหอ เริ่มเจริญเติบโตเป็นเมือง อารยธรรมยุคแรกเริ่มต้นที่นั่น และวัฒนธรรมจีนในปัจจุบันวิวัฒนาการมาจากจุดเริ่มต้นสมัยโบราณ นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า จีนน่าจะเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดอย่างต่อเนื่องของโลก
กษัตริย์ (ฮ่องเต้) แห่งราชวงศ์ชาง ประมาณ 1,766 ปี ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์ชางเริ่มปกครองบางเมือง พวกเขาตั้งราชวงศ์ ซึ่งเป็นวงศ์ตระกูลหรือกลุ่มที่ปกครองเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน กษัตริย์มีความรับผิดชอบกิจกรรมทางศาสนา พวกเขาอ้างว่าเหล่าทวยเทพยินยอมให้ปกครอง กษัตริย์ราชวงศ์ชาง ปกครองส่วนกลางของที่ราบจีนภาคเหนือ ประยูรญาติของพวกเขาปกครองพื้นที่ห่างไกล ราชวงศ์ชางใช้รถม้าเพื่อปกป้องตัวเองจากพวกเผ่าร่อนเร่ที่อาศัยอยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก (น่าจะเป็นมองโกล) พวกเขาทำสงครามกับคนเผ่าเร่ร่อนเหมือนกับราชวงศ์โจว (Zhou หรือ Joh)
ราชตระกูลชาง ในวัฒนธรรมราชวงศ์ชาง การเคารพบิดามารดาและบรรพบุรุษแห่งตระกูลเป็นสิ่งสำคัญ ราชวงศ์ถูกผูกติดอยู่อย่างใกล้ชิดกับศาสนา ชาวจีนเชื่อกันว่าวิญญาณของบรรพบุรุษของพวกเขาอาจนำมาซึ่งโชคลาภที่ดี วงศ์ตระกูลจึงเคารพต่อบรรพบุรุษของบิดาด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นเกียรติยศของพวกเขา ผู้ชายปกครองภายในวงศ์ตระกูล (จีนถือมากในเรื่องนี้ ถ้าไม่มีลูกผู้ชายเขาจะหาเมียไปเรื่อย ๆ)
การพัฒนาภาษา กษัตริย์ราชวงศ์ชางอ้างตัวว่าเป็นผู้ที่สามารถมีอิทธิพลเหนือเทพเจ้า พวกเขาได้รับข้อความจากเทพเจ้าผ่านกระดูกพยากรณ์ (oracle bones) กระดูกเหล่านี้เป็นกระดูกสัตว์ที่นักบวชแห่งราชสำนักของราชวงศ์ชางได้ขีดเขียนคำถามต่อเทพเจ้าไว้ ต่อมา พวกเขาได้เอาท่อนไม้อุ่น ๆ แตะกับกระดูกเพื่อทำให้กระดูกเหล่านั้นแตก และตีความตามรอยแตก พวกเขาได้ขีดเขียนคำตอบบนกระดูก รอยขีดข่วนเป็นรูปแบบแรกของการเขียน
การเขียนตัวอักษรจีน |
ราชวงศ์ชางก็เหมือนกับคนโบราณพวกอื่น ๆ ได้พัฒนาระบบการเขียนของพวกเขาด้วยแผนภูมิ ภาพวาดที่เรียบง่ายที่เป็นตัวแทนของคำหรือความคิด ระบบในการเขียนของจีนใช้สัญลักษณ์จำนวนมาก คนต้องรู้ตัวอักษรอย่างน้อย 1,500 ตัวอักษร จึงจะสามารถอ่านและเขียนได้ คนที่ได้รับการศึกษา จำเป็นต้องรู้ตัวอักษรอย่างน้อย 10,000 ตัวอักษร
ข้อดีอย่างหนึ่งของระบบการเขียนภาษาจีน ก็คือคุณสามารถอ่านภาษาจีนได้โดยไม่มีความสามารถในการพูดภาษาจีนได้ คนทั่วประเทศจีนสามารถเรียนรู้ภาษาเขียนของพวกเขาได้ แม้ว่าภาษาพูดจะแตกต่างกัน ระบบได้ช่วยรวมดินแดนขนาดใหญ่ที่แตกต่างกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
ชาวโจวอพยพลงมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขาปะทะกับชาวชางหลายครั้ง ประมาณ 1,027 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้นำชาวโจว ชื่อ วูวัง (Wu Wang) ได้นำทัพเข้าโจมตีชาวชางจนพ่ายแพ้ ชาวโจวได้นำแนวปฏิบัติของชาวชางหลายอย่างมาใช้ เพื่อไม่ให้ชัยชนะของพวกเขานำมาซึ่งการกวาดล้างการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ผู้นำชาวโจวยังนำเสนอความคิดใหม่ ๆ แก่อารยธรรมจีน
ชาวโจวและวัฏจักรของราชวงศ์ กษัตริย์โจวได้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ในประเทศจีน ราชวงศ์จีนเจริญขึ้นและเสื่อมลงตามรูปแบบ นักประวัติศาสตร์เรียกรูปแบบของการเจริญขึ้นและเสื่อมลงของราชวงศ์ในประเทศจีน ว่า วัฏจักรของราชวงศ์ (Dynastic cycle)
กษัตริย์แห่งราชวงศ์โจวก็เหมือนกับชาวอียิปต์โบราณ คิดว่า ความยุ่งยากจะมาหา ถ้าผู้ปกครองทำให้สวรรค์ไม่พอใจ เพื่อแสดงเหตุผลถึงชัยชนะอันสมควรของพวกเขา ผู้นำโจวประกาศว่า กษัตริย์ชางองค์สุดท้ายเป็นผู้ปกครองที่ไม่เอาไหน พวกเขาอ้างว่า เทพเจ้าได้นำสิทธิในการปกครองของชาวชางออกไปและมอบให้แก่ชาวโจว
ในที่สุดความคิดที่ว่าผู้ปกครองที่ดีได้รับการอนุมัติจากเทพเจ้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมจีน เมื่อผู้ปกครองชั่วร้ายหรือโง่ คนที่เชื่อเรื่องการอนุมัติของเทพเจ้าจะถูกกำจัดออกไป ความคิดนี้ถูกเรียกว่าอาณัติแห่งสวรรค์ (Mandate of Heaven) คนจีนเชื่อว่า ความยุ่งยาก เช่น การลุกฮือของชาวไร่ชาวนา การรุกราน น้ำท่วมหรือการเกิดแผ่นดินไหว นั่นหมายความว่าอาณัติแห่งสวรรค์ถูกพรากไป แล้วมันเป็นเวลาสำหรับผู้นำคนใหม่ และอาณัติแห่งสวรรค์อาจผ่านไปยังตระกูลขุนนางอีกตระกูลหนึ่ง
การปกครองของราชวงศ์โจว เหมือนกับราชวงศ์ชาง ราชวงศ์โจวไม่ได้มีการปกครองส่วนกลางที่เข้มแข็ง กษัตริย์ทำให้คนที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือคนอื่น ๆ ที่น่าเชื่อถืออยู่ในความดูแลของส่วนภูมิภาค ผู้ปกครองท้องถิ่นเหล่านั้น หรือขุนนางถวายความจงรักภักดีและราชการทหารแก่กษัตริย์ ในทางกลับกัน กษัตริย์ก็สัญญาว่าจะช่วยปกป้องดินแดนของตน ในขณะที่เมืองเล็กของพวกเขากลายเป็นเมืองใหญ่ ขุนนางก็เติบโตแข็งแกร่ง กลุ่มอื่น ๆ เป็นอันมากก็เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา ขุนนางเป็นส่วนน้อยขึ้นอยู่กับกษัตริย์ พวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันเองและกับคนอื่น ๆ ดินแดนที่พวกเขาผนวกเข้ามาอยู่ในการควบคุมของตนก็ขยายตัวเป็นดินแดนของจีน
จี้มังกรหยก มังกรหยกเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีอำนาจและความเป็นเลิศ |
ยุคแห่งภาวะสงคราม การรุกรานดินแดนจีน เป็นเรื่องที่คงอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์จีน หลังจาก 800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เผ่าคนเร่ร่อนจากทางเหนือและทางตะวันตกได้เข้ามาบุกจีน ในระหว่าง 771 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้รุกรานได้ทำลายเมืองหลวง ชื่อ โหว(Hao) และฆ่ากษัตริย์ ตระกูลของกษัตริย์ ได้อพยพหนีไปลั่วหยาง (Luoyang) และตั้งเมืองหลวงใหม่ เพราะกษัตริย์อ่อนแอ ขุนนางก็ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อำนาจของพวกเขาเติบโตขึ้น ขุนศึกเหล่านี้ก็อ้างตัวเองว่าเป็นกษัตริย์ในดินแดนของพวกเขา การกระทำนี้นำไปสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า ยุคแห่งภาวะสงคราม (The Time of the Warring States) ซึ่งเริ่มขึ้นประมาณ 403 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ปรัชญาในสมัยโบราณของจีน
ในช่วงแห่งภาวะสงครามในประเทศจีนนี้ สังคมจีนประสบความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ขุนศึกและกษัตริย์ต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งกันปกครองดินแดน นักวิชาการประหลาดใจว่าสิ่งใดนำสันติภาพไปยังดินแดน พวกเขาพัฒนาวิธีการคิดสามวิธี คือ การยึดถือกฎหมาย ขงจื้อและเต๋า แต่ละอย่างก็เป็นปรัชญาหรือการศึกษาตรรกวิทยาเรื่องความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ ค่านิยมและโลก
ลัทธิการยึดถือกฎหมาย ปรัชญาข้อหนึ่ง คือ ลัทธิการยึดถือกฎหมาย หรือความเชื่อที่ว่าการปกครองที่มีสมรรถภาพสูง มีประสิทธิภาพและระบบกฎหมายที่เข้มงวดเป็นกุญแจในการการจัดระเบียบสังคม ผู้สนับสนุนลัทธิการยึดถือกฎหมายกลัวความไม่เป็นระเบียบในสังคม พวกเขาตัดสินใจว่า การปกครองที่แข็งแกร่งที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จะฟื้นฟูระเบียบและแก้ปัญหาของจีน
สำนักขงจื๊อ ขงจื๊อ ที่ 2 จากซ้าย พบปะกับลูกศิษย์ |
การควบคุมการปกครองเพิ่มมากขึ้น ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย สอนว่านักปกครองควรตอบแทนคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย เน้นการลงโทษมากกว่าการให้รางวัล ฉาง หยาง (Shang Yang) ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมายคนหนึ่ง ต้องการจะบังคับให้คนรายงานผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย (lawbreakers) ในความเป็นจริง เขาคิดว่าคนที่ไม่ได้รายงานผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย ควรจะถูกสำเร็จโทษ
ผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย ไม่ต้องการให้คนร้องทุกข์เกี่ยวกับการปกครอง หรือคำถามว่ารัฐบาลได้ทำอะไรแล้ว พวกเขานิยมการจับกุมคนที่ถามรัฐบาลหรือสอนความคิดที่แตกต่าง พวกเขายังสอน ว่า ผู้ปกครองควรเผาหนังสือที่มีปรัชญาหรือความคิดที่แตกต่างกัน
ลัทธิขงจื๊อ
ขงจื๊อมีชีวิตอยู่ ระหว่าง 551-479 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ช่วงเวลาของความขัดแย้งและความไม่สงบมากมายในประเทศจีน เขาก็เหมือนกับผู้สนับสนุนลัทธิยึดกฎหมาย ต้องการจะฟื้นฟูระเบียบของยุคต้นให้แก่สังคมของเขา อย่างไรก็ดี เขาได้พัฒนาความคิดที่แตกต่างเกี่ยวกับวิธีการที่จะยุติความขัดแย้งและมีความสงบสุขในเครือญาติทั้งหมด ตามคำสอนขงจื้อ การเคารพคนอื่น ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างแน่นอนเพื่อความสงบสุขและความสงบเรียบร้อย ผู้นำรัฐบาลควรกำหนดตัวอย่างที่ดี เพื่อให้คนเห็นว่าสิ่งใดถูกต้อง ลูกศิษย์ของขงจื๊อรวบรวมความคิดของเขาและบันทึกไว้ในหนังสือที่เรียกว่า กวีนิพนธ์ (Analects) หนังสือบอกคำสอนของขงจื้อซึ่งจัดระบบความเชื่อเข้าด้วยกันซึ่งเป็นที่รู้จักว่า ลัทธิขงจื้อ (Confucianism - kuhn•FYOO•shuh•nihz•uhm)
เด็ก ๆ ในไต้หวันเข้าร่วมพิธีเชิดชูเกียรติขงจื๊อ |
ความสัมพันธ์ 5 ประการ ขงจื๊อสอนประมวลจรรยาบรรณที่เหมาะสมหรือพฤติกรรมสำหรับประชาชน ในลัทธิขงจื้อมีความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานห้าประการ ความสัมพันธ์แต่ละประเภทมีหน้าที่ของตัวเองและประมวลของการปฏิบัติที่เหมาะสม ความสัมพันธ์ห้าประการ คือ
1. บิดากับบุตรชาย
2. พี่ชายกับน้องชาย
3. สามีกับภรรยา
4. เพื่อนกับเพื่อน
3. ผู้ปกครองกับราษฎร
ขอให้สังเกตว่า ความสัมพันธ์จัดอยู่ในขั้นพื้นฐานสองประการ คือ ความประพฤติที่เหมาะสมในครอบครัวและความประพฤติที่เหมาะสมในสังคม
ความประพฤติที่ถูกต้อง ขงจื๊อเชื่อว่า ความประพฤติดีและความเคารพเริ่มต้นที่บ้าน สามีจะต้องดีกับภรรยาของตน ภรรยาจะต้องเชื่อฟังการตัดสินใจทุกอย่างของสามี พี่น้องจะต้องมีเมตตากับพี่น้อง แต่น้องชายต้องทำตามความประสงค์ของพี่ชายเสมอ หนึ่งในคำสอนที่สำคัญที่สุดของขงจื๊อเป็นเรื่องลูกกตัญญูหรือดูแลพ่อแม่ด้วยความเคารพ
ขงจื๊อก็ยังกังวลกับพฤติกรรมของผู้คนในสังคม เจ้าหน้าที่ควรได้รับการเคารพ ความรับผิดชอบของผู้ปกครองคือการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องและดูแลราษฎรของตนด้วยความเคารพ ถ้าผู้ปกครองเป็นผู้นำในทางที่ถูกต้องชอบธรรม หน้าที่ของราษฎรคือการเชื่อฟัง ถ้าพฤติกรรมเหล่านี้ได้รับการประพฤติตาม จะมีความสงบสุขในสังคม
อิทธิพลของลัทธิขงจื๊อ ลัทธิขงจื้อได้วางบทบาททางครอบครัวและทางสังคมอย่างชัดเจน เมื่อปฏิบัติตามบทบาทเหล่านี้ คนจีนจะพบวิธีการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ผู้ปกครองหลายคนพยายามที่จะดำรงชีวิตอยู่ตามแบบอย่างขงจื้อเพื่อเป็นผู้ปกครองที่ดี ขงจื้อได้วางรากฐานให้กับความยุติธรรมและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีฝีมือ โดยเน้นถึงความสำคัญของการศึกษา
ลัทธิเต๋า
ปรัชญาหลักอันดับสามของจีนโบราณได้รับการบอกเล่าว่า ริเริ่มโดยเล่าจื๊อ (Laozi - low•dzuh) ไม่มีใครรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่จริง ๆ หรือไม่ แต่บางคนบอกว่าเขามีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช เล่าจื๊อ หมายความว่า "เจ้านายเก่า” คัมภีร์คำสอนของท่าน คือ เต๋าเต๊กเก็ง (Daodejing) (หนังสือวิถีแห่งคุณธรรม - The Book of the Way of Virtue) คำสอนของเล่าจื๊อ เรียกกันว่าลัทธิเต๋า (DOW•IHZ•uhm) คำสอนเหล่านั้นตรงกันข้ามกับลัทธิกฎหมายนิยมและขงจื๊ออย่างชัดเจน
แนวทาง เล่าจื้อเชื่อว่าพลังอำนาจของจักรวาลที่เรียกว่า เต๋า (Dao) หรือแนวทาง (Way) ชี้นำทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดยกเว้นมนุษย์ อาศัยอยู่อย่างสอดคล้องกับพลังนี้ มนุษย์โต้แย้งเกี่ยวกับคำถามถึงความถูกต้องและความผิด ตามคำสอนของเล่าจื้อ ข้อโต้แย้งดังกล่าวไม่มีจุดหมาย ความสัมพันธ์กับธรรมชาติและความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มนุษย์แต่ละคนต้องค้นหาวิถีทางเฉพาะตัวหรือ เต๋า เพื่อปฏิบัติตาม แต่ละคนควรเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยความเป็นอันหนึ่งเดียวกัน หรือข้อตกลง กับธรรมชาติและด้วยความรู้สึกภายในของเขาหรือเธอ
เล่าจื้อและสานุศิษย์ของเขาก็เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบทางธรรมชาติมากกว่าการจัดระเบียบสังคม ตามคำสอนของเต๋าถ้าแต่ละคนสามารถหาวิธีการของแต่ละบุคคลของเขาหรือเธอและเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยความกลมกลืนกับธรรมชาติ ครั้นแล้วการจัดระเบียบสังคมจะติดตามมา ดังที่เล่าจื้อกล่าวว่า "ผู้คนควรจะอิ่มอกอิ่มใจในความเรียบง่ายในชีวิตประจำวันของพวกเขาด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและไม่อยู่ใต้อำนาจของความอยาก (ตัณหา)"
สัญลักษณ์หยินและหยาง วงกลมนอก หมายถึง สรรพสิ่ง รูปด้านใน เป็นตัวแทนการปฏิสัมพันธ์ของอำนาจ |
ผู้นับถือเต๋าพยายามเข้าใจธรรมชาติและมีชีวิตอยู่ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจังหวะของธรรมชาติ ข้อนี้รวมถึงการคิดของหยินและหยางหรือทั้งสองสิ่งที่มีปฏิกิริยาต่อกันและกัน และเป็นตัวแทนจังหวะธรรมชาติของชีวิต หยิน (สีดำ) หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความเย็น มืดและลึกลับ หยาง (สีขาว) หมายถึงทุกสิ่งที่อยู่ในความอบอุ่น สดใสและแสง พลังอำนาจทั้งหลายเติมเต็มซึ่งกันและกัน พลังอำนาจมักจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเสมอ การทำความเข้าใจหยินและหยางช่วยให้คนเข้าใจวิธีที่เขาหรือเธอจะอยู่กับโลกอย่างเหมาะสม
ในการค้นหาความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติ ผู้นับถือเต๋าแสวงหาการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาทำผลงานที่สำคัญให้กับวิทยาศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ เช่น ดาราศาสตร์และแพทยศาสตร์
ราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่น
ในตอนสิ้นสุดแห่งยุคของราชวงศ์โจว หลายรัฐก็ยังคงอยู่ในภาวะสงคราม ย้อนหลังไปดู จีนเชื่อในอาณัติแห่งสวรรค์ ตามความเชื่อนั้น สงครามและปัญหาอื่น ๆ เป็นสัญญาณว่าราชวงศ์ที่ปกครองทำให้สวรรค์พิโรธ ชาวจีนเชื่อว่าพวกเขาต้องการนักปกครองคนใหม่
ราชวงศ์ฉินรวมจีนเป็นปึกแผ่น
ผู้ปกครองคนใหม่ของจีนมาจากรัฐฉิน (Qin or chihn) นักวิชาการบางคนคิดว่าชื่อของประเทศจีนอาจจะมาจากคำนี้ จักรพรรดิใหม่ใช้ชื่อชิหวั่งตี้ (Shi Huangdi - shee hwahng•dee) พระองค์จะรวมและขยายจีน
เสื้อหยกในพิธีฝังศพ เสื้อหยกนี้ทำขึ้นมาจากหยก 2,498 ชิ้น ชาวจีนเชื่อว่า หยกจะรักษาศพไว้หลังจากตาย |
พระเจ้าชิหวั่งตี้เชื่อในลัทธิกฎหมายนิยม และวิธีการบริหารประเทศ พระองค์พยายามกำจัดลัทธิขงจื้อ พระองค์สั่งให้ฆ่านักวิจารณ์และผู้นับถือลัทธิขงจื้อ 460 คน นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับสั่งให้เผาตำราที่บรรจุความคิดที่พระองค์ไม่ชอบ
รูปปั้นกองทัพดิน รูปปั้นทหารดินเหนียวฝังอยู่ที่สุสานของพรเจ้าชิหวั่งตี้ |
พระเจ้าชิหวั่งตี้ เริ่มรวมประเทศจีนให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพระองค์ พระองค์ได้สร้างทางหลวงและโครงการชลประทานเพื่อเชื่อมดินแดนเข้าด้วยกัน บังคับให้ชาวนาทำงานในโครงการเหล่านี้และตั้งภาษีสูงในการจ่ายค่าแรงพวกเขา พระองค์ยังได้ตั้งมาตรฐานของรัฐบาลเกี่ยวกับเครื่องชั่งน้ำหนัก เครื่องวัด เหรียญและการเขียนซึ่งทำให้ง่ายต่อการทำธุรกิจในทุก ๆ สถานที่ในประเทศจีน
กำแพงเมืองจีน พระเจ้าชิหวั่งตี้ ต้องการกำแพงยาวไปตามพรมแดนทางเหนือของจีน เพื่อป้องกันชนเผ่าเร่ร่อน (หมายถึงมองโกล) ผู้มารุกราน พระองค์ทรงออกแบบกำแพงขนาดใหญ่ที่เชื่อมกำแพงขนาดเล็กซึ่งสร้างขึ้นในช่วงการทำสงครามรัฐเข้าด้วยกัน กำแพงที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นมาจากดิน ภายหลังจึงนำหินและอิฐมาใช้
กำแพงเมืองจีน (The Great Wall) สร้างในสมัยพระเจ้าชิหวั่งตี้ |
พระเจ้าชิหวั่งตี้ ทรงเกณฑ์ชาวนาและอาชญากรนับร้อยนับพันมาสร้างกำแพงขนาดใหญ่ คนงานหลายคนเสียชีวิตจากการทำงานหนัก การเสียชีวิตทำให้ประชาชนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ราชวงศ์ต่อมา ได้สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่และขยายออกไปหลายครั้ง
สิ้นสุดราชวงศ์ฉิน พระเจ้าชิหวั่งตี้ สวรรคตในระหว่าง 210 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพที่ซับซ้อน กองทัพของทหารที่ทำจากดินเผาถูกฝังอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อปกป้องหลุมฝังศพของพระองค์ นักโบราณคดีค้นพบทหารในปี คริสต์ศักราช 1974
------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
พระเจ้าชิหวั่งตี้ หรือ จิ๋น ชิ หวัง (259 – 210 ปี ก่อนคริสต์ศักราช)
พระเจ้าชิหวั่งตี้ ได้ตัดสินพระทัยในการรวบรวมและเสริมสร้างจีนให้แข็งแรง พระองค์ทรงต่อต้านศัตรูของจีนและศัตรูของการปกครองของพระองค์อย่างหฤโหด กองทัพของพระองค์ ได้โจมตีผู้รุกรานทางทิศเหนือของแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห) และทางทิศใต้ ไกลออกไปถึงเวียดนามในปัจจุบัน ชัยชนะทางทหารของพระองค์ได้เพิ่มขนาดของจีนเป็นสองเท่า
พระเจ้าชิหวั่งตี้ ผู้นับถือลัทธิกฎหมายนิยม ทรงเชื่อมั่นในรัฐบาลกลางที่มีประสิทธิภาพ พระองค์ ได้ถอนรากถอนโคนตระกูลขุนนาง 120,000 ครอบครัว บังคับให้พวกเขาย้ายไปยังเมืองหลวงและยึดเอาที่ดินของพวกเขา พระองค์ทรงบังคับให้ชาวนาสร้างทางหลวงเชื่อมโยงกัน มากกว่า 4,000 ไมล์ เพื่อเชื่อมต่อประเทศ พระองค์พยายามให้นักวิจารณ์สงบปากสงบคำ โดยการสั่งให้เผาหนังสือ "ไร้ประโยชน์” แม้พระองค์ได้รวบรวมประเทศจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก็ได้สังเวยเสรีภาพของประชาชนของพระองค์
----------------------------------------------------
ราชวงศ์ฮั่น
ราชโอรสของชิหวั่งตี้เป็นนักปกครองที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าพระราชบิดาของตน ในระหว่างที่เขาปกครอง มีการก่อจลาจลและจากนั้นก็มีสงครามกลางเมืองระอุไปทั่ว แม่ทัพชื่อหลิวปัง (lee•Yoo bahng) ยุติสงครามกลางเมืองและได้รวบรวมจีนอีกครั้ง ในช่วง 202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เขาเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ฮั่นยืนหยัดอยู่จนถึงประมาณคริสต์ศักราช 220 ซี่งอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับจักรวรรดิโรมัน
แผนที่จีนสมัยราชวงศ์ฮั่น 202 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 220 |
นักปกครองชาวฮั่นได้จัดตั้งการปกครองระบบเจ้าขุนมูลนาย ระบบราชการ (bureaucracy - byu•RAHK•ruh•see) ซึ่งเป็นระบบของหน่วยงานในการดำเนินงานของรัฐบาล ในวิธีการปกครองนี้ เจ้าหน้าที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้ปกครอง ซึ่งดำเนินงานเป็นสำนักงานหรือที่ทำการ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยบังคับบัญชาในการปกครององจักรพรรดิ นักปกครองชาวฮั่น ได้ให้ตำแหน่งแก่สมาชิกในครอบครัวและคนน่าที่เชื่อถือในรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ในที่สุด ทักษะความชำนาญของผู้คนเริ่มมีบทบาทสำคัญในการเลือกเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักปกครองชาวฮั่นได้จัดตั้งระบบเฟ้นหาคนที่มีการศึกษาและจริยธรรมมากที่สุดเพื่อเข้ารับข้าราชการในรัฐจักรวรรดิ พวกเขาได้ทดสอบบุคคลที่มีวามรู้ในลัทธิขงจื้อ ระบบความเชื่อกลายเป็นรากฐานของรัฐบาลจีน
การปกครองของจักรพรรดินี เมื่อหลิวปังเสียชีวิตในช่วง 195 ปีก่อนคริสต์ศักราช จักรพรรดินีม่ายของหลิวปัง ชื่อ หลิว (Lü) ได้ให้ลูกชายคนเล็กปกครอง หลิวอายุยืนกว่าลูกชายและยังคงให้ลูกชายครองบัลลังก์ต่อไป ข้อนี้ทำให้เธอผูกขาดอำนาจเพราะลูกยังเด็กเกินไปสำหรับการปกครอง เมื่อเธอเสียชีวิตในช่วง 180 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้จงรักภักดีต่อหลิวปังได้สำเร็จโทษสมาชิกในตระกูลของเธอทุกคน
การขยายและการรวมจักรวรรดิ ตั้งแต่ 141-87 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ทายาทของหลิวปังชื่อ หวู่ตี้ (Wudi – woo•dee) ได้ปกครองอาณาจักรฮั่น เขาได้รับการขนานนามว่า จักรพรรดิแห่งสงคราม เพราะเขาใช้สงครามเพื่อขยายจีน หวู่ตี้ได้รับชัยชนะทางทหารหลายครั้ง เขาได้รวบรวมภูมิภาคทางตอนใต้ของจีน ทางตอนเหนือของเวียดนามและภาคเหนือเกาหลีภายใต้มาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตนเอง ได้ขับไล่ชนเผ่าเร่ร่อนผู้บุกรุกออกจากทางตอนเหนือของจีน ในตอนท้ายของการปกครองของหวู่ตี้ จีนได้แผ่ขยายใหญ่อย่างมีนัยสำคัญเกือบเท่าดินแดนในปัจจุบันของจีน
การรวมอาณาจักรขนาดใหญ่และมีความหลากหลายนี้ รัฐบาลจีนได้ส่งเสริมประชาชนที่ตนเองพิชิตได้ให้กลมกลืนกันหรือให้ยอมรับวัฒนธรรมของจีน เพื่อจะทำให้ได้อย่างนั้น รัฐบาลจึงส่งเกษตรกรชาวจีนไปตั้งรกรากบริเวณพื้นที่ที่เป็นอาณานิคมใหม่ ๆ พร้อมทั้งสนับสนุนเกษตรกรให้แต่งงานกับประชาชนที่ตนเองพิชิตได้ เพื่อช่วยให้วัฒนธรรมจีนแพร่กระจาย เจ้าหน้าที่ของรัฐได้จัดตั้งโรงเรียนเพื่อสอนลัทธิขงจื้อให้กับคนในท้องถิ่น แล้วพวกเขาก็แต่งตั้งนักวิชาการในท้องถิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
ราชวงศ์ฮั่นเผชิญกับการก่อจลาจล การปฏิวัติชาวนา น้ำท่วม ความอดอยากและภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ รัฐบาลที่แข็งแกร่งและประชากรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันช่วยให้พวกเขายังดำรงอยู่ในอำนาจ พวกเขาปกครองประเทศจีนจนกระทั่ง ค.ศ. 220
การดำรงชีวิตในสมัยจีนฮั่น
ในปัจจุบันนี้ ชาวจีนจำนวนมากเรียกตัวเองว่าชาวฮั่น พวกเขายืนยันอย่างเข้มแข็งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอดีตกาลอันเก่าแก่ ชาวฮั่นเป็นคนขยันมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองมานานหลายทศวรรษ
ผู้หญิงในราชสำนักจีน แต่งตัวและทำผมอย่างประณีต |
เกษตรกรชาวจีนสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่ายและรองเท้าแตะเหมือนเสื้อผ้าในปัจจุบันนี้เป็นส่วนมาก ในช่วงหน้าหนาว เสื้อผ้าของพวกเขาจะถูกยัดเหมือนผ้าห่ม เกษตรกรในภาคเหนือจะปลูกข้าวสาลีหรือข้าวฟ่าง ผู้ที่อยู่ในภาคใต้ จะปลูกข้าว หลายครอบครัวจะรักษาสวนผักไว้เพื่อเป็นอาหารเสริม ปลา และเนื้อสัตว์ก็ยังพอหาได้ แต่มีราคาแพง เป็นผลให้คนส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์และปลาเป็นส่วนน้อย
ชีวิตในเมือง ชาวจีนฮั่นไม่ได้อาศัยอยู่ในชนบททุกคน ยังมีเมืองด้วย เมืองเป็นศูนย์กลางของการค้า การศึกษาและการปกครอง พ่อค้า ช่างฝีมือ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาศัยอยู่ในเมือง ในบางวิธี เมืองไม่แตกต่างจากเมืองในปัจจุบันนี้มากนัก คับคั่งและมีการบันเทิงหลายชนิด รวมถึงนักดนตรี นักเล่นกลและกายกรรม ตามที่นักเขียนบางคนบอกไว้ ในเมืองยังมีแก๊งข้างถนน
รูปปั้นม้าบินสัมฤทธิ์ ถือกันว่า เป็นศิลปะที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่งแห่งราชวงศ์ฮั่น |
มรดกของจีนโบราณ
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ชาวจีนรู้จักแต่วิธีทำไหมเท่านั้น ไหมเป็นที่ต้องการมากเนื่องจากเป็นผ้าที่หรูหรา สำหรับชาวจีนและคนนอกประเทศจีน ผ้าไหมจีนเป็นสิ่งที่สำคัญในการเปิดเส้นทางการค้าไปทางทิศตะวันตก
เหรียญนี้ใช้ในสมัียราชวงศ์ฮั่น ด้านทิศตะวันออกของเอเชียกลาง จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 |
การเย็บปักถักร้อยไหมพรม การเย็บปักถักร้อยไหมพรมของจีนชิ้นนี้ แสดงถึงพุทธกิจการเผยแพร่พระธรรมบนภูเขาคิชฌกูฏ |
ประมาณ 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เส้นทางสายไหมก่อกำเนิดขึ้นสมบูรณ์เต็มที่ เหล่าพ่อค้าสร้างความร่ำรวยด้วยการขนส่งสินค้าไปมาข้ามภูมิประเทศอันทุรกันดารด้วยกองคาราวานอูฐ การเดินทางอาจใช้เวลาหลายปี เมืองตามเส้นทางสายไหมจะจัดอาหาร น้ำ และที่พักพิง พร้อมทั้งสินค้าไว้จำหน่าย สินค้าที่ออกจากประเทศจีน มีทั้งผ้าไหม กระดาษ หยก และเครื่องปั้นดินเผา สินค้าแลกเปลี่ยนที่มาจากตะวันตก มีเมล็ดงาและน้ำมันโลหะและอัญมณี สินค้ารายการหนึ่งซึ่งชาวจีนให้มูลค่าเป็นพิเศษ คือ ม้าจากเอเชียกลาง
แผนที่เส้นทางสายไหม |
ตามที่ทราบแล้วว่า อุปสรรคด้านภูมิศาสตร์ได้แยกประเทศจีนให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ซึ่งหมายความว่าวัฒนธรรมของจีน ได้พัฒนากับอิทธิพลภายนอกเล็กน้อย แต่เส้นทางสายไหม ที่ทอดอ้อมทะเลทรายทากลิมากัน (Taklimakan) และข้ามเทือกเขาปารมีส์ (Pamirs) ช่วยให้สินค้า ความคิดและขนบธรรมเนียมใหม่ ๆ เข้าสู่ประเทศจีน ตัวอย่างเช่น สิ่งต่าง ๆ เช่นเทคนิคการทหารของเอเชียกลาง คำสอนทางพุทธศาสนาและรูปแบบวัฒนธรรมตะวันตกที่เข้ามาสู่ประเทศจีน ในทางกลับกัน ศิลปะจีน ผ้าไหม และเครื่องปั้นดินเผาได้มีแพร่อิทธิพลต่อวัฒนธรรมตะวันตก
การเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น พระธรรมทูตชาวพุทธ ได้เดินทางเข้ามาประเทศจีนตามเส้นทางสายไหมและเผยแพร่ศาสนาให้กับคนจีน ตอนแรก แนวความคิดต่างแดนนั้น (หมายถึงพระพุทธศาสนา) ได้ดึงดูดสาวกได้ไม่กี่คน อย่างไรก็ตามในปีที่เกิดความโกลาหลหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น บทสวดมนต์ที่ทำให้พ้นจากความทุกข์ของพุทธศาสนาก็ดึงดูดความสนใจแก่ชาวจีนจำนวนมาก ชาวพุทธจีนจึงปรับปรุงแก้ไขศาสนาพุทธให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง พุทธศาสนาได้เผยแพร่จากประเทศจีนไปยังประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี
เส้นทางสายไหม |
แนวความคิดและความเชื่อที่มีอิทธิพล
ปรัชญาของจีนโบราณมีอิทธิพลต่อประเทศและต่อโลก มาตรฐานที่ขงจื้อจัดตั้งขึ้นยังคงอยู่อย่างมีนัยสำคัญในการปกครองและการศึกษาของจีน ปัจจุบันนี้แนวความคิดของขงจื้อเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทางสังคมยังคงมีความสำคัญอยู่ในหมู่บ้านจีน ลัทธิขงจื้อกลายเป็นปรัชญาที่มีอิทธิพลมากในประเทศญี่ปุ่นเกาหลีและเวียดนาม
ลัทธิเต๋ามีอิทธิพลอย่างยาวนานในประเทศจีน ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5 ก็กลายเป็นศาสนาที่มีพระสงฆ์ พิธีกรรมและปริมาณของการเก็บรวบรวมงานเขียน ซึ่งแตกต่างจากลัทธิขงจื้อ แต่เต๋ายังคงอยู่ในระบบความเชื่อขั้นต้นของจีน
ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื้อ เป็นศาสนาหรือระบบจริยธรรมหลักทั้งสามรวมกัน ได้มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของจีน ความเชื่อของคนส่วนใหญ่ประกอบด้วยองค์ประกอบของทั้งสามศาสนา วัดเต๋า และวัดทางพุทธศาสนาสามารถมองเห็นได้ทั่วประเทศจีน ปัจจุบันนี้ ระบบความเชื่อทั้งสามระบบ มีศาสนิกชนทั่วโลก พุทธศาสนาจะแพร่หลายเป็นส่วนใหญ่ มีศาสนิกชนเกือบ 379 ล้านคน ใน 130 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีผู้นับถือลัทธิขงจื้อเกือบ 6.5 ล้าน และผู้นับถือลัทธิเต๋า ประมาณ 2.7 ล้านทั่วโลก
สิ่งประดิษฐ์คิดค้นของชาวจีน
จีนมีประชากรมากมายมหาศาลและกำลังขยายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับการดูแล จีนพิจารณาเห็นว่าการทำนาเป็นอาชีพที่สำคัญที่สุดและมีเกียรติ เพราะการเกษตรมีนัยสำคัญมากในประเทศจีน สิ่งประดิษฐ์ทางการเกษตรใหม่ ๆ จำนวนมาก จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
การปรับปรุงทางการเกษตร สิ่งประดิษฐ์ของชาวจีนทำให้การดำเนินชีวิตของเกษตรกรง่ายขึ้นและทำให้ข้าวมีมากขึ้นสำหรับค้าขาย ตัวอย่างเช่น ชาวจีนได้ปรับปรุงไถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมันมีสองผาล ไถที่ได้รับการปรับปรุง พร้อมกับเครื่องมือการทำเกษตรที่ทำจากเหล็กอย่างดีช่วยให้ผลผลิตของพืชพันธุ์ธัญญาหารเพิ่มขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอีกประการหนึ่งก็คือบังเหียนสวมคอม้า สิ่งประดิษฐ์นี้ทำให้ม้าบรรทุกของได้มากกว่าบังเหียนที่ทำขึ้นใช้กันในยุโรปในช่วงเวลานั้น จีนยังเป็นผู้คิดค้นรถสาลี่ (รถเข็นล้อเดียว – เฉพาะล้อหน้า) ซึ่งทำให้เกษตรกรขนของหนักด้วยมือได้ง่ายขึ้น จีนเริ่มใช้กังหันน้ำที่ใช้พลังงานน้ำในการบดเมล็ดข้าว ในผืนดินของเกษตรกรส่วนใหญ่ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่า
กระดาษ ในคริสต์ศักราช 105 มีการคิดค้นกระดาษขึ้นในประเทศจีน ก่อนหน้านั้นหนังสือทำจากผ้าไหมมีราคาแพง กระดาษราคาไม่แพงทำขึ้นมาจากส่วนผสมของเศษผ้าเก่า เปลือกไม้หม่อน และเส้นใยจากพืชกัญชา กระดาษราคาไม่แพงทำให้ประเทศที่ให้คุณค่าในด้านการเรียนรู้สูงมีหนังสือเรียน การประดิษฐ์กระดาษยังได้ส่งผลกระทบรัฐบาลจีน ก่อนหน้านี้เอกสารของรัฐบาลทั้งหมด ได้รับการบันทึกลงบนแผ่นไม้ การใช้กระดาษสำหรับการบันทึกเก็บรักษาสะดวกสบายมากขึ้น กระดาษเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญสำหรับการบริหารของข้าราชการ ซึ่งได้เก็บรักษาระเบียน (จดหมายเหตุ) ไว้เป็นอันมาก
ปัจจุบันนี้ก็ยังมีพ่อค้านำผ้าไหมมาขายที่ตลาดเส้นทางสายไหมเก่าในเมืองคัชการ์ ประเทศจีน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น