อียิปต์โบราณและอาณาจักรกูช
อียิปต์โบราณและอาณาจักรกูช
อียิปต์โบราณและอาณาจักรกูช (Kush)
ของขวัญแห่งแม่น้ำไนล์
ภูมิประเทศอียิปต์โบราณ
แม่น้ำที่ยาวที่สุด แม่น้ำไนล์ ยาว 4,160 ไมล์-เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก มันเริ่มต้นใกล้เส้นศูนย์สูตรในทวีปแอฟริกาและไหลไปทางเหนือสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในภาคใต้มันหมุนเป็นฟองกับน้ำตก Cataract (KAT•uh•RAKT) คือ น้ำตก ใกล้ทะเลแม่น้ำไนล์แตกสาขาเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ (Delta) เดลต้าเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ ซึ่งน้ำตกตะกอนเป็นดินตะกอนเล็ก ๆ เรียกว่า Silt ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ แม่น้ำไนล์แบ่งออกเป็นหลายสาย
ลำดับเหตุการณ์โลกยุคอียิปต์โบราณ
|
แผนที่อียิปต์โบราณ ในระหว่าง 3,100 - 1,200 ปี ก่อน ค.ศ. |
ขวดรูปปลานิล (ซึ่งเป็นปลาที่มีอยู่ทั่วไปในแม่น้ำไนล์) ยาวประมาณ 6 นิ้ว เป็นเครื่องประดับที่ล้ำค่า |
แม่น้ำเริ่มตั้งแต่ทางใต้และไหลไปทางเหนือ เป็นตะกอนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยเหตุนี้ แม่น้ำไนล์ตอนบน อยู่ทางใต้และแม่น้ำไนล์ตอนล่างอยู่ทางเหนือ เป็นเวลาหลายศตวรรษ ฝนตกหนักบนที่ราบสูงเอธิโอเปีย ทำให้เกิดแม่น้ำไนล์ท่วมทุกฤดูร้อน น้ำท่วมได้ทิ้งดินที่อุดมสมบูรณ์ไปตามชายฝั่งของแม่น้ำไนล์ ดินที่อุดมสมบูรณ์นี้เรียก“ปุ๋ย” (Fertile-อุดม) ซึ่งหมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการปลูกพืช ในความเป็นจริง ดินอุดมสมบูรณ์ที่สุดในทุกที่ของทวีปแอฟริกา เป็นโชคดีสำหรับเกษตรกรชาวอียิปต์ ลุ่มแม่น้ำไนล์ท่วมในเวลาเดียวกัน ทุกปี ดังนั้นเกษตรกรสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าจะปลูกพืชของพวกเขา ณ ที่ใด
ดินดำ ดินแดง ชาวอียิปต์โบราณที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินที่แคบบนฝั่งทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ พวกเขาเรียกภูมิภาคนี้ ว่า แผ่นดินดำเพราะดินอุดมสมบูรณ์ที่น้ำท่วมทิ้งเอาไว้ แผ่นดินสีแดงเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้งมากกว่าภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์
ดินดำ ดินแดง ชาวอียิปต์โบราณที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ดินที่แคบบนฝั่งทั้งสองฝั่งของแม่น้ำไนล์ พวกเขาเรียกภูมิภาคนี้ ว่า แผ่นดินดำเพราะดินอุดมสมบูรณ์ที่น้ำท่วมทิ้งเอาไว้ แผ่นดินสีแดงเป็นทะเลทรายอันแห้งแล้งมากกว่าภูมิภาคที่อุดมสมบูรณ์
แผ่นดินอันดมสมบูรณ์ทอดยาวเหยียดไปตามแมน้ำไนล์ |
สภาพอากาศในประเทศอียิปต์ ส่วนมากเป็นเป็นเหมือนกันตลอดปี แปดเดือนในหนึ่งปีมีแสงแดดและร้อน สี่เดือนในฤดูหนาวมีแสงแดด แต่เย็น ภูมิภาคที่ได้รับน้ำฝนมากที่สุดได้รับเพียงหนึ่งนิ้วต่อปีเท่านั้น (inch of rain = 5.6 แกลลอนต่อพื้นที่สามฟุต 1แกลลอน = 3.79 ลิตร ประมาณ 16 ลิตรต่อพื้นที่สามฟุต (1 หลา) แสดงว่าแล้งมาก)
ส่วนของอียิปต์ที่ไม่ได้อยู่ใกล้แม่น้ำไนล์เป็นทะเลทราย ทะเลทรายที่ยุ่งเหยิงเป็นอุปสรรคในการกีดกันศัตรู ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นแอ่งน้ำและขาดการคุ้มกันอย่างแน่นหนาดี ด้วยเหตุผลเหล่านี้ชาวอียิปต์ยุคต้น ๆ จึงอยู่ใกล้ชิดกับบ้านเกิดเมืองนอน
นก ibis
ในแต่ละปี เกษตรกรชาวอียิปต์ดูนกสีขาวที่เรียกว่า ibis (EYE•bihs•uhz-ชื่อนกขนาดใหญ่ชนิด Anastomus oscitansในวงศ์ Ciconiidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับนกกาบบัวแต่ตัวเล็กกว่า ลำตัวสีเทาปนขาว แต่จะเป็นสีเทาเข้มในฤดูผสมพันธุ์ ปากหนาแหลมตรง เมื่อจะงอยปากสบกัน ส่วนกลางของปากบนและปากล่างแยกห่างจากกัน ทั้งนี้เพื่อสะดวกในการคาบเหยื่อ) ซึ่งบินขึ้นจากทางทิศใต้ เมื่อนกมาถึง น้ำก็จะไหลท่วมประจำปีในไม่ช้า หลังจากที่น้ำเหือดหายไป เกษตรกรสามารถปลูกพืชในดินอุดมสมบูรณ์
เทคนิกทางเกษตร การควบคุมกระแสน้ำหลากประจำปีของแม่น้ำไนล์สำหรับใช้ในการเกษตรต้องเป็นความพยายามของชุมชน ในการใช้น้ำ เกษตรกรอียิปต์ในยุคต้น ๆ ต้องทำงานร่วมกัน ส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องย้ายที่อยู่ คลองชลประทานจะต้องมีการขุดเพื่อเบี่ยงเบนน้ำไปยังพื้นที่น้ำแห้ง อ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ในปีต่อ ๆ ไป จำเป็นก็จะต้องขุดดิน ดินเป็นจำนวนมากที่ขุดออกเพื่อสร้างคลองและอ่างเก็บน้ำสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันพื้นที่อื่น ๆ จากน้ำท่วม
นก ibis |
เทคนิกทางเกษตร การควบคุมกระแสน้ำหลากประจำปีของแม่น้ำไนล์สำหรับใช้ในการเกษตรต้องเป็นความพยายามของชุมชน ในการใช้น้ำ เกษตรกรอียิปต์ในยุคต้น ๆ ต้องทำงานร่วมกัน ส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องย้ายที่อยู่ คลองชลประทานจะต้องมีการขุดเพื่อเบี่ยงเบนน้ำไปยังพื้นที่น้ำแห้ง อ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ในปีต่อ ๆ ไป จำเป็นก็จะต้องขุดดิน ดินเป็นจำนวนมากที่ขุดออกเพื่อสร้างคลองและอ่างเก็บน้ำสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันพื้นที่อื่น ๆ จากน้ำท่วม
Shadoof คือถังบรรจุน้ำจากแม่น้ำไนล์ หรือคลองไปยังนา ทุกวันนี้ชาวอียิปต์ก็ยังใช้กันอยู่ |
ต่อมาประมาณ 1,600 ปี ก่อนคริสตศักราช เครื่องมือที่เรียกว่า shadoof (shah • Doof-อุปกรณ์ยกนำเพื่อนำน้ำไปทำการเกษตร มีเสาตรงกลางและมีของหนักถ่วงไว้ที่ปลายข้างหนึ่งอีกปลายข้างหนึ่งมีถังผูกไว้) นำเข้ามาจากเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เกษตรกรชาวอียิปต์ใช้มันเพื่อนำน้ำระหว่างแม่น้ำไนล์และคลอง ระหว่างคลองและอ่างเก็บน้ำหรืออ่างเก็บน้ำและทุ่งนา shadoof ทำให้ความสามารถในการใช้น้ำของชาวอียิปต์ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก
พืชผลของชาวอียิปต์ ชาวอียิปต์โบราณได้เพาะปลูกอาหาร ธัญพืชหลากหลายพรรณ เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นพืชหลักของชาวอียิปต์ ชาวอียิปต์เป็นพวกแรกที่บดข้าวสาลีลงในแป้งและผสมแป้งกับยีสต์และน้ำเพื่อให้แป้งเป็นขนมปัง พวกเขาได้ปลูกผัก เช่น ผักกาดหอม หัวไชเท้า หอมและแตงกวา ผลไม้รวมถึงผลอินทผลัม ลูกมะเดื่อและองุ่น
ชาวอียิปต์ยังได้ปลูกวัสดุสำหรับทำเสื้อผ้าอีกด้วย พวกเขาเป็นพวกแรกที่ทอเส้นใยจากต้นลินินเป็นผ้าที่เรียกว่า linen (ผ้าลินิน) ผ้าลินินที่มีน้ำหนักเบาเป็นสิ่งที่ดีเลิศในวันที่ร้อนของชาวอียิปต์ ผู้ชายสวมผ้าลินินห่อรอบเอว ผู้หญิงสวมชุดเสื้อแขนกุดหลวม ๆ ชาวอียิปต์ยังถักหญ้าที่เกิดในบึงเป็นรองเท้าแตะอีกด้วย
บ้านพักอาศัยของชาวอียิปต์ ชาวอียิปต์สร้างบ้านโดยใช้อิฐที่ทำจากโคลนจากแม่น้ำไนล์ผสมกับฟางสับ พวกเขาวางหน้าต่างแคบ ๆ สูงขึ้นไปบนกำแพงเพื่อลดแสงแดดจ้า ชาวอียิปต์มักทาสีขาวที่กำแพงเพื่อสะท้อนความร้อนดังไฟ พวกเขาถักกิ่งไม้ และกิ่งปาล์มทำเป็นหลังคา ภายในบ้าน ทอเสื่อกกครอบคลุมพื้นดิน ชาวอียิปต์ส่วนใหญ่นอนอยู่บนเสื่อที่ปกคลุมไปด้วยแผ่นผ้าลินิน ประชาชนที่มั่งคั่งจะมีความสุขบนเตียงและหมอนอิง
ขุนนางชาวอียิปต์มีบ้านอย่างมีรสนิยมกับสนามหญ้าที่มีต้นไม้เรียงรายเพื่อให้ร่มเงา บางคนมีสระว่ายน้ำเต็มไปด้วยดอกบัวและปลา ชาวอียิปต์ที่ยากจน ก็ไปขึ้นบนหลังคาที่เย็น หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน พวกเขามักจะทำกับข้าว รับประทานอาหาร และหลับแม้กระทั่งภายนอกบ้าน
ภูมิศาสตร์สร้างชีวิตให้กับชาวอียิปต์
เศรษฐกิจของอียิปต์ขึ้นอยู่กับเกษตรกรรม แต่อียิปต์ยังใช้ทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อเตรียมจัดความต้องการในชีวิตประจำวันและพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจ
การทำเหมืองแร่ ชาวอียิปต์ได้ทำเหมืองแร่และขุดโลหะและแร่ต่าง ๆ มากมายเพื่อวางขอบข่ายแห่งกิจกรรม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับสังคมอื่น ๆ ให้กว้างขวาง ตัวอย่างเช่น พวกเขาขุดทองแดงก่อนใครทั้งหมด คือ เมื่อ 4,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และใช้ทำเป็นเครื่องมือและอาวุธ ต่อมาเนื่องจากความแข็งแกร่งอันยอดเยี่ยม เหล็กจึงกลายเป็นโลหะทางเลือก ทองแดงและเหล็กถูกขุดในทะเลทรายตะวันออกและบนคาบสมุทรไซนาย (Sinai)
ทองยังขุดได้ทั้งในพื้นที่ร้อนจัดและหยาบอีกด้วย ชาวอียิปต์ได้รับราคาทองคำสูงมากและช่างทองของพวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดีที่สุดในโลกยุคโบราณ คำในภาษาอียิปต์เรียกทองคำว่า “nub” เป็นผลให้พวกเขาเรียกพื้นที่ทางตอนใต้ของน้ำตกแห่งที่สองของแม่น้ำไนล์-อีกภูมิภาคหนึ่งที่มีทองคำอุดมตกค้าง ว่า Nubia (NOO•bee•uh)
ภาพจิตรกรรมฝาผนังจากสุสาน แสดงภาพผู้ชายกำลังล่านกชายเลนบึง |
การตกปลาและการล่าสัตว์ แม่น้ำไนล์มีปลาและสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่ชาวอียิปต์ต้องการ การเดินทางไปตามแม่น้ำ ชาวอียิปต์ได้สร้างแพที่มีน้ำหนักเบาด้วยการผูกต้นกกเข้าด้วยกัน พวกเขาใช้ทุกอย่าง ตั้งแต่ตาข่ายจนถึงฉมวกเพื่อจับปลา ยิ่งกว่านั้น ยังมีภาพวาดโบราณภาพหนึ่งแสดงคนเตรียมพร้อมที่จะตีปลาดุกด้วยค้อนไม้
นักล่าผจญภัยมากมาย ได้แทงฮิปโปโปเตมัสและจระเข้ตามแม่น้ำไนล์ ชาวอียิปต์ยังจับนกกระทาด้วยตาข่ายอีกด้วย พวกเขาใช้บูมเมอแรงในการขว้างเป็ดและห่านที่กำลังบินตกลงมา (บูมเมอแรงคือกิ่งไม้ที่มีรูปโค้งซึ่งจะหมุนกลับมาหาคนที่ขว้างมันไป)
เซรามิกรูปฮิปโปโปเตมัสเคลือบสีเขียวขุ่นเขียนลายรูปนกต้นกกและดอกบัว แสดงว่าผู้ทำอาศัยอยู่ตามแม่น้ำ |
การขนส่งและการค้าขาย ในที่สุด ชาวอียิปต์ได้เอาใบเรือและพายติดที่เรือต้นกกของพวกเขาและแม่น้ำไนล์กลายเป็นทางหลวง สายน้ำไหลช้า ดังนั้น ชาวเรือจึงใช้พายถ่อให้ไปเร็วขึ้นเมื่อพวกเขาเดินทางขึ้นเหนือทวนสายน้ำ การเดินทางไปทางใต้ พวกเขายกเรือและปล่อยให้ลมผลักดันเรือไป
แม่น้ำไนล์ยังเอื้ออำนวยให้ชาวอียิปต์มีสินค้าที่เหลือเฟือหรือมากมายกว่าที่พวกเขาต้องการเป็นประจำเสียด้วยซ้ำไป พวกเขาก็เริ่มซื้อขายซึ่งกันและกัน อียิปต์โบราณไม่มีเงิน ดังนั้น ผู้คนจึงขายสินค้าส่วนเกินของพวกเขา วิธีการของการค้านี้จะเรียกว่า “การแลกเปลี่ยน” (bartering) พวกเขายังทำการค้ากับคนอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง การค้ากับนูบิอา ได้นำสัตว์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ทอง งาช้างและเครื่องหอมไปยังอียิปต์ อียิปต์ยังค้าขายไปถึงตะวันออกเฉียงเหนือข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับประเทศที่ในปัจจุบัน คือ เลบานอนและซีเรีย
การดำเนินชีวิตในอียิปต์โบราณ
ชีวิตการทำงานและครอบครัว
รูปมัมมีแมว ชาวอียิปต์บางคนจะนำสัตว์เลี้ยงที่ตายแล้วมาทำมัมมี่ และทำพิธีฝังศพแมวจะได้รับเกียรติเป็นพิเศษในอียิปต์ |
การงานที่ศึกษาเป็นพิเศษ ในขณะที่อารยธรรมอียิปต์พัฒนาขึ้นอย่างซับซ้อนมาก คนที่ใช้เวลาทำงานมากกว่าคือชาวนาหรืออาลักษณ์ ช่างศิลป์ที่มีความสามารถบางพวกสร้างบ้านหรือวิหารที่เป็นหินหรืออิฐ ช่างฝีมืออื่น ๆ ก็ได้พัฒนาความเชี่ยวชาญของตัวเอง พวกเขาได้สร้างเครื่องปั้นดินเผา เสื่อ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าลินิน รองเท้าหรือเครื่องประดับ
ชาวอียิปต์ไม่มากนัก ได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังแม่น้ำไนล์ตอนบน เพื่อการค้ากับชาวแอฟริกาพวกอื่น ๆ ผู้ค้าเหล่านี้เอาผลิตภัณฑ์อียิปต์ เช่น ม้วนกระดาษ ผ้าลินิน ทอง และเครื่องประดับ พวกเขาได้นำไม้ หนังสัตว์ และสัตว์ป่าที่มีชีวิตแปลกใหม่ กลับไป
เมืองลักซอร์ในอียิปต์ ในภาพเป็นรูปวิหารมีเสาเป็นยอดแหลมที่เรียกว่า โอเบลิสก์ (Obelisk) |
นักปกครองและนักบวช เนื่องจากอียิปต์เจริญขึ้น ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องจัดระเบียบ ชาวอียิปต์จึงได้สร้างรัฐบาล ซึ่งแบ่งอาณาจักรออกเป็น 42 หัวเมือง ข้าราชการหลายคนได้ทำงานเพื่อรักษาหัวเมืองให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น อียิปต์ยังสร้างกองทัพเพื่อปกป้องตัวเองอีกด้วย
หนึ่งในงานที่สูงที่สุดในอียิปต์คือการเป็นนักบวช นักบวชปฏิบัติตามพิธีกรรมอย่างเป็นทางการและดูแลวิหาร ก่อนที่จะเข้าไปยังวิหาร นักบวชจะอาบน้ำและใส่เสื้อผ้าลินินพิเศษและรองเท้าแตะ สีขาว นักบวชจะทำความสะอาดรูปปั้นอันศักดิ์สิทธิ์ในวิหาร เปลี่ยนเสื้อผ้าและแม้กระทั่งถวายอาหาร
นักบวชและผู้ปกครองจะจัดพิธีเพื่อให้พระเจ้าโปรดร่วมกัน ชาวอียิปต์เชื่อว่าถ้าพระเจ้าพิโรธ แม่น้ำไนล์จะไม่เกิดน้ำไหลหลาก เป็นผลให้พืชจะไม่เติบโตและคนจะตาย ดังนั้นผู้ปกครองและนักบวชจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้พระเจ้าพอใจ โดยการทำเช่นนั้น พวกเขาหวังว่าจะรักษาระเบียบสังคมและการเมืองไว้ได้
ทาส ทาสเป็นชนชั้นต่ำของสังคม ในอียิปต์ ทาสส่วนใหญ่จะถูกจับได้ในสงคราม บางคนถูกจับไปเป็นทหาร
พวกที่ตกเป็นทาสเหล่านี้หลายคน ทำงานในโครงการสร้างอาคารสาธารณะ เช่น ปิรามิดหรือวิหาร การทำงานที่เหมืองแร่และเหมืองถ่านหิน ในทะเลทรายด้านตะวันออกและแหลมไซไนก็ยากพอ ๆ กัน แต่พวกทาสชอบทำงานที่นี่มากกว่า การมอบหมายสถานที่ให้ทำงานเหล่านี้มักจะเป็นการสัญจรแบบทางเดียว การขาดแคลนแรงงานทาสได้รับการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและอย่างโหดร้าย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฟาโรห์ รามเสสที่ 2 (Ramses II) ต้องการแรงงานเป็นจำนวนมากสำหรับโครงการก่อสร้างที่สำคัญของพระองค์โครงการหนึ่ง พระองค์จึงส่งทหารเข้าไปในทะเลทรายตะวันตกเพื่อลักพาตัวชาวลิเบียเป็นจำนวน
ทาสที่เป็นคนรับใช้ในประเทศก็โชคดีเมื่อเปรียบเทียบกัน พวกเขาทำงานในสถานการณ์ที่มีอันตรายน้อยกว่า อาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบายมากกว่าและกินอาหารมากกว่าและดีกว่า พวกเขายังสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สำคัญ เป็นที่ไว้วางใจภายในครัวเรือนได้อย่างเป็นธรรมอีกด้วย
บทบาททางสังคมของอียิปต์โบราณ
1. ฟาโรห์ 2. พระหรือนักบวชและขุนนาง 3. อาลักษณ์และข้าราชการ
4. ช่างฝีมือและพ่อค้า 5. เกษตรกรหรือชาวนา 6. แรงงานและทาส |
งานหลักของผู้หญิงส่วนมากก็คือการดูแลลูก ๆ และดูแลบ้าน แต่บางคนก็ทำงานอื่น ๆ ด้วย ผู้หญิงบางคนก็ทอผ้า คนอื่น ๆ ทำงานร่วมกับสามีของตนในท้องนาและในโรงงาน
เด็ก ๆ ในอียิปต์เล่นกับของเล่นเช่น ตุ๊กตา รูปปั้นสัตว์ เกมกระดานและหินอ่อน พ่อแม่ของพวกเขาทำของเล่นจากไม้หรือดิน เด็กชายและเด็กหญิงยังเล่นเกมทางกายภาพแบบหยาบ ๆ กับลูกบอลที่ทำจากหนังหรือต้นกก เด็กชายและเด็กหญิงบางส่วนจากครอบครัวที่ร่ำรวยไปโรงเรียนที่ดำเนินการโดยอาลักษณ์หรือนักบวช เด็กคนอื่น ๆ ส่วนมาก เรียนรู้งานของพ่อแม่ของตนเอง ชาวอียิปต์เกือบทั้งหมดจะแต่งงานในช่วงวัยรุ่น
สัตว์เลี้ยง ชาวอียิปต์โบราณเลี้ยงสัตว์มากมายหลายต่าง ๆ กัน สุนัขเลี้ยงไว้เพื่อใช้ในการเดินทางล่าสัตว์ เหมือนกับทุกวันนี้ที่บางครั้งก็ยังทำกันอยู่ ยังมีสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยม (คล้ายสุนัขพันธุ์ดัชชุนด์) ซึ่งเป็นสุนัขตัวเล็ก ๆ มากกว่า แต่แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบมากที่สุด กระทั่งมีเทวีแมว ที่เรียกว่า Bastet คำอียิปต์สำหรับเรียกแมว คือ miw (มิ้ว) ตามเสียงที่แมวร้อง
การพัฒนาความรู้
เหมือกับในสังคมโบราณมากมาย ความรู้เป็นอันมากของอียิปต์อุบัติขึ้นมาจากการที่นักบวชได้ศึกษาค้นคว้าโลกเพื่อหาวิธีการที่จะทำให้พระเจ้าโปรดปราน ความก้าวหน้าอื่น ๆ อุบัติขึ้นเพราะการค้นคว้าด้วยการลงมือปฏิบัติ
การเขียน เริ่มต้นประมาณ 3,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์ได้พัฒนาระบบการเขียนด้วยการใช้กราฟฟิค ระบบการเขียนโดยใช้สัญลักษณ์ภาพ (Hieroglyphs - HY•uhr•uh•GLIHFS) ซึ่งเป็นภาพที่แทนคำหรือเสียงที่หลากหลาย ชาวอียิปต์ยุคแรก ๆ สร้างระบบการเขียนโดยใช้สัญลักษณ์ภาพ ประมาณ 700 ตัวอักษร เมื่อเวลาผ่านไป ระบบก็พัฒนาไปมากกว่า 6,000 สัญลักษณ์
ชาวอียิปต์ยังได้พัฒนาวัสดุคล้ายกระดาษ ซึ่งเรียกว่าปาปิรัส (papyrus - puh•PY•ruhs) มาจากต้นกกที่มีชื่อเดียวกัน ชาวอียิปต์ตัดลำต้นเป็นเส้นกดรีดพวกมันและตากแห้งจนเป็นแผ่นที่สามารถจะม้วนเป็นม้วนกระดาษ ม้วนปาปิรัสน้ำหนักเบาและง่ายต่อการพกพา ชาวอียิปต์ได้สร้างหนังสือเล่มแรกด้วยการใช้ม้วนกระดาษเหล่านี้
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ชาวอียิปต์ได้พัฒนาเรขาคณิตเป็นครั้งแรก ในแต่ละปีน้ำท่วมแม่น้ำไนล์ได้ชะล้างขอบเขตพื้นดิน เพื่อฟื้นฟูร่องรอยแห่งความอุดมสมบูรณ์ นักสำรวจรังวัด จะวัดที่ดินโดยการใช้เชือกที่ผูกปมที่ระยะห่างสม่ำเสมอ รูปทรงเรขาคณิต เช่น สี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวอียิปต์ สถาปนิกใช้รูปทรงเรขาคณิตเหล่านั้น ในการออกแบบวิหารและอนุสาวรีย์ที่เป็นของหลวง
นักบวชชาวอียิปต์ได้ศึกษาท้องฟ้าในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา ประมาณ 5,000 ปีที่ผ่านมา พวกเขาได้สังเกตเห็นว่า ดาว ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า ซิริอุส (Sirius - SIHR•ee•uhs) จะปรากฏเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนที่แม่น้ำไนล์เริ่มท่วม ดาวจะกลับไปที่ตำแหน่งเดิม ใน 365 วัน ชาวอียิปต์จึงได้พัฒนาปฏิทินใช้เป็นครั้งแรกของโลก โดยอาศัยพื้นฐานะจากดาวดวงนั้น
ในสังคมอียิปต์โบราณ ผู้ที่เป็นอาลักษณ์ จะต้องมีความรู้มากมาย และเรียนรู้อักษรอียิปต์โบราณทุกตัว |
การแพทย์ แพทย์ชาวอียิปต์มักจะเตรียมศพไว้ฝัง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักชิ้นส่วนของร่างกาย ความรู้นั้นได้ช่วยให้พวกเขาดำเนินการทำศัลยกรรมบางอย่างได้เป็นครั้งแรกของโลก ยกตัวอย่างเช่น ม้วนกระดาษปาปิรัสม้วนหนึ่ง จะติดคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการเย็บแผลผ่าตัดที่ฉกรรจ์ไว้ ข้อความอื่น ๆ ยังแนะนำให้วางชิ้นส่วนของขนมปังราลงบนบาดแผลไว้อย่างวิจิตรพิสดาร เพนิซิลลิน (penicillin) คือ ยาปฏิชีวนะซึ่งได้เปลี่ยนเป็นยาที่ทันสมัย ทำมาจากรา แพทย์ชาวอียิปต์ยังใช้เปลือกของต้นวิลโลว์ (willow) เพื่อบรรเทาความปวดอย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า เปลือกนี้มีสารค่อนข้างคล้ายกับยาแอสไพริน
ศรัทธาและศาสนา
ชีวิตหลังความตาย มุมมองเชิงบวกโดยทั่วไปของชาวอียิปต์ ได้สร้างศาสนาของพวกเขาและนำพวกเขาไปสู่ความเชื่อว่าพระเจ้าโปรดปรานพวกเขา ชาวอียิปต์เชื่อว่ามันไม่ใช่แค่ฟาโรห์และขุนนางที่อาจมุ่งหวังที่จะมีชีวิตหลังความตาย มันกลายเป็นเรื่องความเชื่อธรรมดา ที่ว่าความเจริญรุ่งเรืองของคนสามารถดำเนินการต่อไปได้หลังความตายอย่างมีความสุข ชีวิตหลังความตายคือชีวิตที่เชื่อว่าจะตามมาหลังจากตาย (คือตายแล้วเกิดอีก) สังคมอียิปต์แต่ละระดับ มีมุมมองของตัวเองถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุขแก่ชีวิตหลังความตาย ตัวอย่างเช่น ชาวนาในชนบท อ้าแขนรับความนิรันดร์ในดินแดนแห่งการประสบความสำเร็จของพวกเขา โดยปราศจากความเจ็บปวดหรือได้รับบาดเจ็บ ในที่ซึ่งทุกคนมีแปลงที่ดินเท่ากัน ไม่ใช่ทุกวัฒนธรรมในสมัยโบราณที่ใช้ความเชื่อของชาวอียิปต์ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ชาวสุเมเรียน (Sumerians) คิดว่าชีวิตหลังความตายจะมีความทุกข์ทรมาน
คัมภีร์แห่งความตาย
(The Book of the Dead)
|
คัมภีร์แห่งความตายเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นจากพระสูตรและเวทย์มนตร์อันวิเศษ ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ตายในการเดินทางหลังความตาย จำนวนของเวทมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์เติบโตในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนถึงประมาณ 200 ปี แม้ว่า จะไม่มีม้วนกระดาษปาปิรัสบันทึกไว้ทั้งหมด อาลักษณ์ก็ได้เขียนข้อความออกมา และศิลปินได้เพิ่มภาพประกอบอันยอดเยี่ยม ชาวอียิปต์เชื่อว่า การทำชั่วจะทำให้หัวใจหนัก ตามหนังสือแห่งความตาย เทพอานูบิส (Anubis) จะชั่งน้ำหนักหัวใจของคนตายแต่ละคน ถ้ามันเบากว่าขนนก รางวัล ก็คือชีวิตหลังความตายที่มีความสุข ถ้าไม่ใช่ เทพอานูบิส ก็เอาหัวใจไปเลี้ยงปีศาจ Ammit (ปิศาจเพศเมียในศาสนาโบราณของอียิปต์ มีรูปร่างคล้ายสิงโต ฮิปโปโปเตมัสและจระเข้)
|
เทพหลากหลาย ศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (polytheism) ก็คือ ความเชื่อในเทพเจ้าหลายองค์ ชาวอียิปต์บูชาพระเจ้าหลายองค์ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตาย และส่วนต่าง ๆ ของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์หรือแม่น้ำ
พระเจ้าหลายองค์ได้รับการบูชาในบางพื้นที่เท่านั้น เทพอามุน (Amun) กลายเป็นเทพท้องถิ่น เทพหัวหน้าของเมืองธีบส์(Thebes) ต่อมา เทพอามุนก็กลายเป็นเทพที่สำคัญมากขึ้น เมื่อตระกุลแห่งเมืองธีบส์กลายเป็นเชื้อสายของฟาโรห์
การสร้างมัมมี่ ชาวอียิปต์ดองศพของผู้ตายก่อนที่จะเอาไปฝังไว้ในหลุมฝังศพ ดองหมายถึงการรักษาร่างกายไว้หลังจากตาย กระบวนการดองศพมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างอยู่ตลอดเวลา แต่การปฏิบัติบางอย่างเป็นเรื่องปกติ อันดับแรก สัปเหร่อ จะรื้อเอาอวัยวะทั้งหมดออกยกเว้นหัวใจ น่าแปลกประหลาด สมองถือว่าไม่สำคัญ ในขณะที่อวัยวะอื่น ๆ ได้ถูกเก็บและรักษาไว้ สมองจะถูกคว้านออกและทิ้งอย่างง่าย ๆ อวัยวะอื่น ๆ นอกเหนือจากสมองจะถูกทำความสะอาดและใส่ลงไปในไหแยกกัน สัปเหร่อ จะล้างและฟอกด้านในร่างกายที่ว่างเปล่า ต่อมาพวกเขาจะบรรจุและคลุมร่างด้วยเนทรอน (natron) (เป็นเกลือที่ใช้ในการทำมัมมี่ ซึ่งก็คือเกลือโซเดียมคาร์บอเนต หรือโซดาแอซ นั้นเอง)-ธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวแทนการอบแห้งและน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีเกลือเป็นจำนวนมาก
รูปปั้นศีรษะเทพอานูบิส ชาวอียิปต์มีความหวังว่า เมื่อเอาใจเทพเจ้าที่มีหัวเป็นสุนัขจิ้งจอก ก็จะป้องกันไม่ให้สุนัขจิ้งจอกมาถ่ายของเสียในสุสาน |
สุสานของชาวอียิปต์ การรักษาร่างกายและวัตถุ รวมไว้ในหลุมฝังศพแสดงว่าชาวอียิปต์เชื่อว่าชีวิตหลังจากความตายเป็นชีวิตที่ต่อเนื่องไปจากชีวิตในโลกนี้อย่างหนึ่ง หลุมฝังศพได้เก็บสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไว้มากมาย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องมือ เครื่องนุ่งห่ม และเฟอร์นิเจอร์
ญาติ ๆ ที่มีชีวิตอยู่ได้รับการคาดหวังว่าจะนำอาหารสดและเครื่องดื่มไปยังหลุมฝังศพทุกวัน การสวดภาวนาเพื่อดวงวิญญาณของผู้ตายยังสวดอยู่ทุกวัน ครอบครัวที่อยู่ไกลบางครอบครัว จะว่าจ้างผู้ช่วยให้นำไปสู่หลุมฝังศพและปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ
ปิรามิด สุสานของฟาโรห์ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันดีของอียิปต์โบราณ
ผู้สร้างปิรามิด
อาณาจักรเก่า
ตำนานบอกว่ากษัตริย์ชื่อนาร์เมอร์ (Narmer) ได้รวมอียิปต์ตอนบนและตอนล่างเข้าด้วยกัน นักประวัติศาสตร์บางคนคิดว่า นาร์เมอร์ เป็นตัวแทนกษัตริย์หลายพระองค์ที่ค่อย ๆ รวมดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน การรวมอียิปต์ตอนบนและตอนล่างเข้าด้วยกัน เกิดขึ้น ประมาณ3,100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช นักประวัติศาสตร์แบ่งประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ เป็นอาณาจักรเก่า อาณาจักรกลางและอาณาจักรใหม่ ประชาชนส่วนมากทั่วอียิปต์สร้างรามิดขึ้นในสมัยอาณาจักรเก่าซึ่งเริ่มประมาณ 2,575 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ราชวงศ์แรก ราชวงศ์แรกของจักรวรรดิอียิปต์ เริ่มขึ้นเมื่อประเทศเป็นปึกแผ่น ราชวงศ์สามราชวงศ์แรกของอียิปต์ เกิดขึ้นก่อนอาณาจักรเก่า ราชวงศ์ (Dynasty - DY•Nuh•stee) คือ เชื้อสายของผู้ปกครองมาจากวงศ์เดียวกัน เมื่อกษัตริย์สวรรคต บรรดาราชบุตรของพระองค์ องค์หนึ่ง มักจะแทนที่ในฐานะผู้ปกครอง สมาชิกของพระราชวงศ์จะสืบทอดบัลลังก์ตามลำดับ เรียกว่า การสืบทอดราชบัลลังก์ ราชวงศ์ มากกว่า 30 ราชวงศ์ ที่ปกครองอียิปต์โบราณ
รูปภาพแมลงปีกแข็งซแคแร็บ แมลงปีกแข็งสแคแร็บเป็นสัญลักษณ์ แห่งความมีชีวิตนิรันดร์ของอียิปต์โบราณ |
ราชวงศ์แรก ราชวงศ์แรกของจักรวรรดิอียิปต์ เริ่มขึ้นเมื่อประเทศเป็นปึกแผ่น ราชวงศ์สามราชวงศ์แรกของอียิปต์ เกิดขึ้นก่อนอาณาจักรเก่า ราชวงศ์ (Dynasty - DY•Nuh•stee) คือ เชื้อสายของผู้ปกครองมาจากวงศ์เดียวกัน เมื่อกษัตริย์สวรรคต บรรดาราชบุตรของพระองค์ องค์หนึ่ง มักจะแทนที่ในฐานะผู้ปกครอง สมาชิกของพระราชวงศ์จะสืบทอดบัลลังก์ตามลำดับ เรียกว่า การสืบทอดราชบัลลังก์ ราชวงศ์ มากกว่า 30 ราชวงศ์ ที่ปกครองอียิปต์โบราณ
การปกครองของฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์กลายเป็นที่รู้จักกันว่า ฟาโรห์ (pharaoh - FAIR•oh) ฟาโรห์หมายความว่า "บ้านใหญ่" และแต่เดิมใช้อธิบายวังของพระราชา หลังจากนั้นก็กลายเป็นชื่อของกษัตริย์เอง ฟาโรห์ปกครองตั้งแต่เมืองหลวงชื่อเมมฟิส
ชาวอียิปต์โบราณคิดว่า ฟาโรห์เป็นลูกของพระเจ้าและเป็นพระเจ้าเอง ชาวอียิปต์เชื่อว่าถ้าฟาโรห์และอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์เคารพพระเจ้า ชีวิตของพวกเขาจะมีแต่ความสุข ถ้าอียิปต์ประสบเวลาที่ยากลำบากเป็นระยะเวลานาน ประชาชนก็ตำหนิฟาโรห์ว่าทำให้พระเจ้าขุ่นเคือง ในกรณีเช่นนี้ คู่แข่งอาจขับไล่เขาออกจากอำนาจและเริ่มต้นราชวงศ์ใหม่
เนื่องจากผู้คนคิดว่า ฟาโรห์เป็นพระเจ้า ศาสนาและรัฐบาลจึงไม่แยกจากกันในอียิปต์ นักบวชมีอำนาจมากในรัฐบาล เจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนเป็นนักบวช
พีระมิดของคูฟู
เหล่านักปกครองแรก ๆ ของอียิปต์มักจะถูกฝังอยู่ในหลุมฝังศพใต้ดินซึ่งมียอดทำด้วยอิฐโคลน ในไม่ช้ากษัตริย์ต้องการอนุสาวรีย์ถาวรมากขึ้น พวกเขาเอาอิฐโคลนที่มีพีระมิดขนาดเล็กก่อด้วยอิฐหรือหินใส่แทน พีระมิดเป็นโครงสร้างที่มีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมที่มีสี่ด้านที่บรรจบกันที่ส่วนยอด
ประมาณ 2,630 ปี ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์ โจเซอร์ (Djoser - ZHOH • Suhr) ได้สร้างพีระมิดขนาดใหญ่มากเหนือหลุมฝังศพของพระองค์ มันถูกเรียกว่าพีระมิดขั้นบันได เพราะด้านข้างของมันมีขั้นบันได้ขนาดใหญ่สูงขึ้นเป็นชุด มันเป็นโครงสร้างหินที่มีขนาดใหญ่ที่รู้จักกันว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก
มหาพิีระมิด ประมาณ 80 ปีต่อมา ฟาโรห์ ชื่อ Khufu (คูฟู) (KOO•FOO) ตัดสินใจว่าพระองค์ต้องการอนุสาวรีย์ที่จะแสดงให้โลกรู้ว่าพระองค์ยิ่งใหญ่เพียงใด พระองค์จึงสั่งการให้ก่อสร้างพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา ตามฐานของพิระมิด แต่ละด้านยาว 760 ฟุต แกนกลางถูกสร้างขึ้นจากก้อนหิน 2.3 ล้านก้อน
พีระมิด สร้างเป็นอนุสาวรีย์บนสุสานของเหล่านักปรกครอง |
มงกุฎคู่ เป็นการผสมผสานมงกุฎขาว อันเป็นสัญลักษณ์อียิปต์ตอนบน และมงกุฎแดงอันเป็นสัญลักษณ์อียิปต์ ตอนล่างเข้าด้วยกัน รวมเป็นสหราชอาณาจักร |
เกษตรกรจะตรากตรำทำงานหนักด้วยการลากหินในช่วงฤดูที่แม่น้ำไนล์ท่วมทุ่งนาของพวกเขา ช่างสลักหินที่มีทักษะและคนควบคุมทำงานตลอดทั้งปี มหาพีระมิดใช้เวลาในการสร้างเกือบ 20 ปี ชาวอียิปต์ประมาณ 20,000 ทำงานในนั้น เมืองที่เรียกว่า กิซ่า(GEE•zuh) ถูกสร้างขึ้นสำหรับคนงานที่สร้างพีระมิดและผู้คนทำอาหารเลี้ยง แต่งตัวและสร้างที่อยู่ให้พวกเขา
พวกขโมยหลุมฝังศพ ในที่สุดชาวอียิปต์ก็หยุดสร้างปิรามิด เหตุผลหนึ่งก็คือปิรามิดดึงความสนใจไปยังหลุมฝังศพภายในพิรามิดเอง โจรขโมยหลุมฝังศพบุกเข้าไปในสุสานเพื่อจะขโมยสมบัติที่ถูกฝังพร้อมกับฟาโรห์ บางครั้งโจรเหล่านั้นยังขโมยมัมมี่อีกด้วย
ชาวอียิปต์เชื่อว่าถ้าหลุมฝังศพถูกโจรขโมย คนที่ถูกฝังอยู่ในนั้นไม่สามารถมีชีวิตหลังความตายอย่างมีความสุข ในช่วงอาณาจักรใหม่ ฟาโรห์เริ่มสร้างสุสานลับในบริเวณที่เรียกว่าหุบเขาของพระราชา ห้องฝังศพถูกซ่อนอยู่ในภูเขาใกล้แม่น้ำไนล์ วิธีนี้ ฟาโรห์หวังว่าจะปกป้องร่างกายและสมบัติของตนเองจากโจรได้
ฟาโรห์พยายามที่จะซ่อนตัวเองเต็มที่เพียงใด พวกโจรก็ขโมยสมบัติจากหลุมฝังศพเกือบทุกหลุมของฟาโรห์เพียงนั้น หลุมฝังศพจากอาณาจักรใหม่เท่านั้นที่หลีกเลี่ยงการโจรกรรมได้ ก็คือหลุมฝังศพของทุตอังค์อามุน (Tutankhamen - TOOT•ahng•Kah•muhn) ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1922 ความร่ำรวยลานตาที่พบในหลุมฝังศพนี้แสดงให้เห็นว่าความมั่งคั่งเป็นอันมากที่ฟาโรห์ใช้เวลาเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตหลังความตาย
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
|
ฟาโรห์คุฟู เป็นบุตรคนหนึ่งที่ปฏิบัติตามตัวอย่างบิดาของพระองค์ บิดาของพระองค์ คือ Snefru (SNEHF•roo) เป็นกษัตริย์นักรบที่นำความเจริญรุ่งเรืองไปสู่อียิปต์ Snefru ฉลองการกระทำของเขาโดยการสร้างพีระมิดที่แท้จริงเป็นครั้งแรกที่อนุสาวรีย์ฝังศพของเขา
คุฟูชอบการออกแบบพีระมิด แต่คิดว่าพีระมิดที่ใหญ่กว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า มหาพีระมิดของพระองค์ คือโครงสร้างที่สูงที่สุดในโลกมานานกว่า 4,300 ปี น่าเศร้าที่ความหรูหราที่งดงามของพีระมิดหลุมฝังศพของพระองค์ถูกโจรขโมยหลุมฝังศพขโมยนานมาแล้ว วัตถุเพีงชนิดเดียวที่เหลือจากงานศพของคุฟู คือ เรือค้นพบในปี ค.ศ. 1954 เรือลำนี้ ยาวถึง 125 ฟุต มีความหมายถึงการขนส่งวิญญาณของKhufu ผ่านชีวิตหลังความตายไปตามเส้นทางของเทพอาทิตย์
|
อาณาจักรกลาง
ประมาณ 2,160 ปี ก่อนคริสต์ศักราช อำนาจกลางของฟาโรห์เริ่มล่มสลายลง การแตกแยก สงครามกลางเมืองและการรุกรานรบกวนอียิปต์นานกว่า 100 ปี การอุบัติขึ้นของฟาโรห์เมนตูโฮเทป ที่ 2 (Mentuhotep II) ในระหว่าง 2,055 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ได้นำมาซึ่งเสถียรภาพบ้าง ระยะเวลาที่เกิดขึ้นต่อมา เรียกว่าอาณาจักรกลาง
จุดเชื่อมต่อจารีตประเพณี แม้ว่าฟาโรห์เมนตูโฮเทป สามารถรวบรวมอียิปต์ได้อีกครั้ง จุดสูงสุดของอาณาจักรกลาง ก็ได้เริ่มขึ้นเมื่อ 70 ปีต่อมา ฟาโรห์ อเมเนมเฮท ที่ 1 (Amenemhet I) ได้ก่อตั้งราชวงศ์ที่สิบสองในระหว่าง 1,985 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ ดังนั้นการเรียกร้องที่จะครองราชย์บัลลังก์ของพระองค์ จึงได้สั่นคลอน
แผนที่ราชอาณาจักรเก่าและกลางของอียิปต์ ระหว่าง 2,575 - 1,630 ปี ก่อน ค.ศ. |
อเมเนมเฮท อ้างคำทำนายโบราณสนับสนุนหตุผลของพระองค์ พระองค์ได้เผยแพร่คำทำนายจากคัมภีร์เนเฟอร์ติ (Neferti) ที่คาดคะเนว่าสืบมาจากยุคฟาโรห์สเนฟรู ซึ่งเป็นฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สี่ที่ประชาชนนับถือมาก คัมภีร์ทำนายถึงการเสด็จมาของกษัตริย์อเมนิ(ameni) ผู้ที่จะช่วยอียิปต์ให้รอดจากความสับสนวุ่นวาย ในความเป็นจริง อเมเนมเฮทเอง ก็ได้เขียนเรื่องนี้เพื่อเชื่อมต่อพระองค์กับฟาโรห์สเนฟรูและแสดงให้เห็นว่าความเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์ยังคงมีอยู่ พระองค์ได้ครองราชย์เป็นเวลา 29 ปี และราชวงศ์ที่สิบสองสืบต่อกันมานานกว่า 200 ปี
จิตรกรรมสุสานแห่งราชอาณาจักรกลางของอียิปต์ แสดงการอพยพของชาวปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นชาวเอเชีย ที่มาตั้งรกรากในพื้นที่สามเหลี่ยมด้านตะวันออก |
ความเข้มแข็งและความเจริญรุ่งเรือง ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสอง ใช้กองกำลังทางทหารขยายขอบเขตของอียิปต์ไปทางทิศใต้ พวกเขาต้องการยึดทรัพยากรของนูเบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองของนูเบีย เมื่อรุกลงมาทางใต้ตามริมแม่น้ำไนล์ พวกเขาเดินทางมาถึงบ่อน้ำซึ่งอยู่ถัดจากน้ำตกแห่งที่สองประมาณ 1,800 ปี ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากการศึกประสบความสำเร็จในแต่ละครั้ง ป้อมปราการจะถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องรักษาการควบคุมดินแดนใหม่และช่วยรักษาทองคำให้ไหลลงสู่คลังของอียิปต์
เกษตรกรรมได้รับการส่งเสริมอย่างยอดเยี่ยมในอาณาจักรกลาง ทางทิศใต้และทิศตะวันตกของเมืองซัคคาร่า (Saqqara) เป็นพื้นที่แอ่งน้ำที่รู้จักกันว่า เฟยุม (Faiyum) ฟาโรห์องค์ต่อมา ได้พยายามระบายหนองน้ำกว้างใหญ่เหล่านี้เพื่อให้สามารถนำมาใช้สำหรับการเพาะปลูก พวกเขาทำได้โดยการขุดคลองและสร้างเขื่อนเพื่อเปลี่ยนเส้นทางน้ำที่อาจจะเก็บในที่นั่นได้ โครงการนี้ กินเนื้อที่ใหม่มากถึง150,000 เอเคอร์ในระยะการไถ การผลิตอาหารเพิ่มขึ้นทำให้อียิปต์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุป อียิปต์เติบโตในช่วงระยะเวลาแห่งราชวงศ์สิบสองของอาณาจักรกลาง ศิลปะ (โดยเฉพาะวรรณกรรม) ก็รุ่งเรือง ด้านการค้าก็ขยายตัวทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทางทิศตะวันออกไปถึงเอเชียและสันตติวงศ์ของฟาโรห์ก็มีเสถียรภาพและเป็นระเบียบเรียบร้อย
การเสื่อมและล่มสลาย การปกครองของราชวงศ์ที่สิบสามอ่อนแอลงมาก ในช่วงเวลานี้ ผู้คนจากทางตะวันออกของคาบสมุทรไซนาย ที่เรียกว่า "เอเชียติกส์ (Asiatics – ผู้คนที่มาจากทวีปเอเชีย)" ในตำราอียิปต์ เริ่มที่จะอพยพไปยังภาคตะวันออกของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ในที่สุด กลุ่มชาวอียิปต์ที่เรียกว่า Hyksos (HIHK•sohs – ฮีกโซส) มาจากปาเลสไตน์และซีเรียได้เข้ารุกรานอียิปต์ พวกเขาเอาชนะอียิปต์ตอนล่างเป็นส่วนมาก ประมาณ 1,630 ก่อนคริสต์ศักราช ด้วยความช่วยเหลือทางอาวุธที่ดีกว่าและรถออกศึกซึ่งใช้ม้าลาก ซึ่งเป็นของใหม่สำหรับชาวอียิปต์ ภายหลัง ประมาณ 100 ปี ชาวอียิปต์ได้ขับพวกฮีกโซสออกไป และเริ่มอาณาจักรใหม่
อาณาจักรใหม่และกูช
ฟาโรห์ผู้หญิง
อาณาจักรใหม่รวมถึงผู้ปกครองที่ทรงอำนาจมากที่สุดของอียิปต์บางคน ฟาโรห์เหล่านี้ตั้งเมืองหลวงใหม่ขึ้น ชื่อ ธีบส์ (Thebes)ลงไปทางใต้ของเมืองหลวงเก่าเมมฟิส 450 ไมล์ พวกเขาสร้างอียิปต์ให้เข้มแข็งโดยการขยายอาณาจักรให้กว้างไกล
วิหารของฮัตเชปซุท ราชินีฮัตเชปซุท ซึ่งเป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ รับสั่งให้สลักภูเขาเป็นวิหาร |
การยึดอำนาจ พระราชินีฮัตเชปซูท (Hatshepsut - hat•SHEHP•SOOT) เป็นผู้หญิงคนแรกที่ปกครองเป็นฟาโรห์ เธอเป็นภรรยาของฟาโรห์ที่เสียชีวิตไม่นาน หลังจากที่เขาเข้ามากุมอำนาจ ครั้นแล้ว ฮัตเชพซูทก็ปกครองพร้อมกับลูกเลี้ยงของเธอ ชื่อ ธุตโมซีสที่ 3(thoot•MOH•suh) ในระหว่าง 1,472 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ฮัตเซปซูทได้ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ปกครองเพียงผู้เดียว เธอได้สวมเคราปลอมซึ่งสงวนไว้สำหรับฟาโรห์แต่ผู้เดียว
รูปปั้นฮัตเชปซูท ฟาโรห์หญิงองค์แรก และองค์เดียวของอียิปต์ |
การค้าขายเจริญรุ่งเรือง ฟาโรห์แห่งอาณาจักรใหม่ส่วนมากได้ขยายอียิปต์โดยการทำสงคราม ฮัตเชปซูทได้ใช้วิธีการอื่น ๆ ด้วย เธอต้องการจะสร้างอียิปต์ให้รุ่งเรืองขึ้นด้วยการค้าขาย การเดินทางค้าขายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ คือ ครั้งที่ข้ามทะเลทรายทางทิศตะวันออกไปยังทะเลแดง เรือขนาดใหญ่แล่นไปทางใต้ ไปยังแผ่นดินแอฟริกา ที่เรียกว่า พันต์ (Punt ภาษาอังกฤษ แปลว่า ถ่อ หรือ เรือท้องแบน) พ่อค้าหลายคนได้นำสมุนไพรหายากกลับมา เครื่องเทศ ไม้หอม ลิงที่ยังมีชีวิตอยู่ และต้นไม้กระถางสำหรับการทำเครื่องหอม
มรดกของฮัตเชปซูท เหมือนฟาโรห์อื่น ๆ ฮันเชปซูท เป็นผู้กระตือรือร้นในการประกาศความรุ่งโรจน์ของเธอ อนุสรณ์ประเภทหนึ่งที่เธอสร้าง คือ อนุสาวรีย์ (obelisk - AHB•UH•lihsk) อนุสาวรีย์เป็นเพลาสี่ด้าน มียอด ที่มีรูปทรงคล้ายพีระมิด ฮัตเชปซูท มีอนุสาวรีย์สูงแกะสลักจากก้อนหินแกรนิตสีแดง ด้านบนอนุสาวรีย์ ช่างฝีมือได้ใช้กราฟฟิคเพื่อบันทึกผลงานอันยิ่งใหญ่ของเธอ
หลังจากปกครองได้ 15 ปี ฮัตเชปซูทก็หายไป เธออาจจะเสียชีวิตอย่างสงบ หรือธุตโมส ที่ 3 (ลูกเลี้ยงของนาง) อาจจะฆ่าเธอ หลังจากที่เธอตาย ธุตโมสก็ป็นฟาโรห์และพยายามที่จะทำลายบันทึกทุกอย่างของรัชสมัยของฮัตเชปซูท
ฟาโรห์ยุคปฏิรูป
ความเชื่อแบบใหม่ เมื่ออัคเคนาเตน หรือ อัคเคนาทอน (Akhenaten or Akhenaton (AHK•uh•NAHT•uhn)) เป็นฟาโรห์ ในระหว่าง 1,353 ปี ก่อนคริสต์ศํกราช พระองค์ได้ยกสุริยเทพ (a sun god) ที่เรียกว่า Aton ขึ้นเป็นเทพสูงสุด จากนั้นก็ปิดวิหารของเทพอื่น ๆ ด้วยวิธีนี้ พระองค์ได้สนับสนุนการบูชาเทพองค์เดียวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อียิปต์ พระที่ปรนนิบัติพระเจ้าอื่น ก็สูญเสียอำนาจไปทันที พระเหล่านั้นยังกลัวอีกว่าการกระทำของฟาโรห์จะทำให้พระเจ้าองค์เก่าพิโรธ
ภาพส่วนหัวของเนเฟอรืติติ นักประวัติศาสตร์มีความเห็นว่า รูปส่วนหัวนี้เป็นภาพเหมือนของเนเฟอร์ติติชายาของอาเคนาเตน (ฟาโรห์อาเมนโฮเทป ที่ 4) |
ฟาโรห์ยุคปฏิรูปสิ้นสุดลง ศาสนาใหม่ของอัคเคนาเตนก็ไม่ได้คงอยู่อย่างยาวนาน สามปีหลังจากการเสียชีวิตของอัคเคนาเตน ประยูรญาติหนุ่มที่ชื่อ ตูตันคาเมน(Tutankhamen) ก็เป็นฟาโรห์ ในช่วง 1,333 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เด็กคนนี้อาศัยอาจารย์ที่ปรึกษาช่วยให้เขาปกครองอียิปต์ พวกเขาเชื่อว่า ตูตันคาเมนจะปฏิเสธศาสนาใหม่และเคารพพระเจ้าองค์เก่า
ฟาโรห์ผู้มีอำนาจ
ในระหว่าง 1,279 ปี ก่อนคริสต์ศักราช รามเสส ที่ 2 (Ramses II (RAM•Seez)) ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาครองราชย์ 66 ปี ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์
มหาวิหารอาบู ซิมเบล รูปปั้นขนาดยักษ์ของรามเสสสี่องค์ ปกป้องมหาวิหารอาบู ซิมเบล ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำไนล์ แต่ละองค์สูงเท่ากับอาคารหกชั้น |
ผู้สร้างอาณาจักร รามเสส ไม่เหมือนฮัตเชปซูท ยังได้รับขนานนามว่า รามเสสมหาราชอีกด้วย เขาต้องการสร้างอียิปต์ให้เรืองอำนาจด้วยการทำสงคราม ภายใต้ปกครองของรามเสส อียิปต์ได้ขยายดินแดนไปทางใต้อาณาจักรนูเบีย ของแอฟริกา อาณาจักรยังขยายยาวเหยียดไปถึงด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีขอบเขตติดกับอาณาจักรฮิตไทต์ (Hittites) อีกด้วย
ชาวอียิปต์และฮิตไทต์ เป็นศัตรูกันมายาวนาน ไม่นานหลังจากนั้นรามเสสก็กลายเป็นฟาโรห์ รามเสส ได้นำทัพเข้าสู่การต่อสู้กับฮิตไทต์ แท้จริงแล้วไม่มีใครชนะสงคราม แต่รามเสสอ้างว่าได้รับชัยชนะ ความสำเร็จที่แท้จริงของพระองค์ มาถึงหลังจากการสู้รบ เมื่อพระองค์เจรจาสนธิสัญญาสันติภาพกับฮิตไทต์ที่รู้จักกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก
ฟาโรห์รามเสสเป็นผู้กล้าหาญในการนับถือตัวเอง พระองค์ได้สร้างเมืองที่เรียกว่า ปิ-รามเสส (Pi-Ramses) หรือบ้านของรามเสส ในสามเหลี่ยมตะวันออก ที่อาบูซิมเบล ทางตอนใต้ของน้ำตกแห่งแรก รูปปั้นสูง 66 ฟุตสี่องค์ของรามเสส ป้องกันพระวิหารของพระองค์ หูของรูปปั้นยาวสามฟุต! รามเสสแตกต่างจากอัคเคนาเตน ไม่ต้องการให้รูปปั้นตัวเองแสดงให้เห็นว่าเหมือนตัวเองจริง ๆ พระองค์ประสงค์ให้ตนเองเหมือนพระเจ้า
รามเสสที่ 2 ครองราชย์จนถึง 1,213 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในขณะที่พระองค์อายุมากกว่า 90 ปี เป็นนักปกครองคนเดียวที่ทำให้การปกครองของอียิปต์มั่นคงเป็นเวลาถึง 66 ปี รัชสมัยของพระองค์ยังเป็นเวลาแห่งสันติภาพอีกด้วย หลังจากการเจรจาสนธิสัญญากับฮิตไทต์ ก็ไม่มีศัตรูมาคุกคามอียิปต์ในระยะเวลาที่ฟาโรห์รามเสสครองราชย์
อียิปต์ล่มสลาย อียิปต์ไม่เคยเป็นเอกภาพเลย หลังจากรามเสสเสียชีวิต รัฐบาลกลางค่อย ๆ อ่อนแอ หลังจากประมาณ 1,070 ปีก่อนคริสต์ศักราช อำนาจต่างเมืองก็เข้าปกครองอียิปต์เป็นระยะ ๆ ต่อมาถึง 1,000 ปี
ชาวเปอร์เซียได้พิชิตอียิปต์ในระหว่าง 525 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาในระหว่าง 332 ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนียก็ได้ยึดครอง ก่อนการปกครองของกรีก 300 ปี อย่างไรก็ตาม ก่อนเปอร์เซียและกรีกปกครอง อาณาจักรNubian Kushite (อาณาจักรกูชโบราณ บางทีเรียกนูเบีย ตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ใต้อียิปต์โบราณ) ก็ปกครองอียิปต์
อารยธรรมนูเบียและกูช
(Nubia and the Kush)
อียิปต์ปกครองภูมิภาคต่าง ๆ ของนูเบียประมาณ 2,000 – 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในขณะที่อำนาจกลางของรัฐอียิปต์พินาศลงในตอนท้ายของอาณาจักรใหม่ กลุ่มผู้ปกครองแยกมาครองอียิปต์ตอนล่างและตอนบน ผู้ปกครองเหล่านี้มีอำนาจน้อยไม่สามารถที่จะออกแรงควบคุมในเขตนูเบีย ระยะหลัง อาณาจักรนูเบียที่เรียกว่า กูช ก็คลองอำนาจในภูมิภาค
อาณาจักรกูช ในระหว่าง 700 ปี ก่อน ค.ศ. |
ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างอียิปต์และกูช ระยะเวลาที่อียิปต์ปกครองนูเบียส่งผลให้มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม อียิปต์ได้รับอิทธิพลศิลปะแห่งนูเบียรวมทั้งกูช ขุนนางหนุ่มชาวกูช เดินทางไปยังอียิปต์สถานที่ซึ่งพวกเขาได้เรียนรู้ภาษาอียิปต์ พวกเขาได้นำรูปแบบประเพณีและเครื่องนุ่งห่มของชาวอียิปต์และได้นำพระราชพิธีและระบบการเขียนอักษรอียิปต์โบราณกลับไปยังกูช ปิรามิดของชาวอียิปต์ยังถูกลอกเลียนไปยังกูชด้วย และชาวนูเบีย ก็บูชาเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์บางส่วน
อาณาจักรกูชมีอำนาจรุ่งเรือง เมื่ออิทธิพลอียิปต์ในนูเบียเสื่อมลง ประมาณ 1,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช การบูชาเทพอามูนยังคงดำเนินอยู่ในเมืองหลวงอาณาจักรกูช ที่ชื่อ นาปาต้า (Napata) ประมาณ 750 ปี ก่อนคริสต์ศักราช อียิปต์อยู่ในท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างหลายอำนาจในภูมิภาค กองกำลังในการควบคุมสามเหลี่ยมตะวันตกเริ่มคุกคามอียิปต์ตอนบน ผู้ปกครองเมืองธีบส์ ศูนย์กลางของการบูชาเทพอามุน ได้เชิญกษัตริย์กูช ชื่อ ไป (Piye - PY) เพื่อปกป้องพวกเขา กษัตริย์ Piye และกองทัพของพระองค์แล่นเรือตามแม่น้ำไนล์ไปยังเมืองธีบส์ สถานที่ซึ่งกษัตริย์ Piye ได้รับการประกาศเป็น ฟาโรห์ จากนั้นพระองค์ก็ยังคงเดินทางไปทางเหนือสู่อียิปต์ตอนล่าง อาชนะศัตรูทั้งหมดตลอดเส้นทางไปเมืองเมมฟิส หลังจากสิ้นสงครามอันยาวนาน พระองค์ก็ได้ปกครองอียิปต์ทั้งหมด
ความสัมพันธ์ทางการเมืองและการค้าขายกับอียิปต์ กษัตริย์ไป ได้รวมอียิปต์และกูชเข้าด้วยกัน นูเบียได้จัดตั้งราชวงศ์ของตนเองหรือวงศ์แห่งกษัตริย์ขึ้นปกครองอียิปต์ กษัตริย์ไป ได้รับการประกาศเป็นฟาโรห์ของอียิปต์ รัชสมัยของพระองค์ได้จารึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นราชวงศ์ที่ยี่สิบห้าของอียิปต์ แม้ว่าพระองค์จะเป็นฟาโรห์ กษัตริย์ไป ก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในอียิปต์ พระองค์เลือกประทับอยู่ในนาปาต้าเมืองหลวงของกูชแทน
นาปาต้า ตั้งอยู่ที่หัวถนนสำหรับใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้าใกล้ ๆ แก่งแห่งหนึ่งของแม่น้ำไนล์ พ่อค้าจะใช้ถนนเมื่อเรือบรรทุกสินค้าไม่สามารถแล่นไปทางน้ำที่มีกระแสน้ำรุนแรงในหลาย ๆ ส่วนของแม่น้ำได้ วิธีนี้นำไปสู่การค้าที่มีชีวิตชีวาริมแม่น้ำไนล์ นาปาต้า เป็นศูนย์กลางสำหรับการแพร่กระจายของสินค้าและวัฒนธรรมอียิปต์ไปสู่คู่ค้าอื่น ๆ ของอาณาจักรกูชในทวีปแอฟริกาและอื่น ๆ
อาณาจักรกูชเสื่อมสลาย ในระหว่าง 704 ปีก่อนคริสต์ศักราช กองกำลังอียิปต์แห่งอาณาจักรกูชได้ต่อสู้อัสซีเรียในปาเลสไตน์ ชาวอียิปต์ได้สนับสนุนผู้นำที่ต่อต้านการปกครองของชาวอัสซีเรีย ชาวอัสซีเรียซึ่งมีอาวุธเหล็กแข็งแกร่งกว่าอาวุธสัมฤทธิ์ของกูช ชนะการสู้รบครั้งนั้น ทั้งสองผลัดกันแพ้ชนะเป็นเวลาหลายปี ขณะที่อียิปต์ได้สนับสนุนผู้นำต่างประเทศอื่น ๆ ให้ต่อต้านการปกครองของอัสซีเรีย ในระหว่าง 671 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอัสซีเรียได้บุกและเอาชนะอียิปต์ นี้เป็นการสิ้นสุดการปกครองของอาณาจักรกูชในอียิปต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น