วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ราชวงศ์จีน จีนรวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ราชวงศ์จีน จีนรวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง

ราชวงศ์จีน
จีนรวมตัวใหม่
ลำดับเหตุการ์ในจีนโบราณและโลก
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในจีนและโลกสมัยโบราณ
แผนที่ภูมิศาสตร์ทางกายภาพของจีนในปัจจุบัน
แผนที่ภูมิศาสตร์ทางกายภาพของจีนในปัจจุบัน
แผนที่ลำดับเหตุการณ์จีนและโลกสมัยโบราณ
แผนที่ลำดับเหตุการณ์จีนและโลกสมัยโบราณ
การล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น
          ราชวงศ์ฮั่นก่อตั้งขึ้น ในช่วงเวลา 202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช จีนประสบช่วงเวลาของความเจริญก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรือง อย่างไรก็ตาม ในที่สุด การต่อสู้ทางการเมือง ปัญหาทางสังคมและขยายช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ทำราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอลง ซึ่งตกอยู่ในคริสต์ศักราช 220

ความขัดแย้งและความโกลาหล ระยะเวลาความโกลาหลอันยิ่งใหญ่ก็ตามมา  อาณาจักรต่าง ๆ ต่อสู้กันเอง พวกร่อนเร่บุกรุกจากทางทิศเหนือข้ามที่ราบสูงมองโกเลียเข้ามาสู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน (ชนเผ่าเร่ร่อนคือบุคคลที่ย้ายจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง) น้ำท่วม ภัยแล้งและการขาดแคลนอาหารยังทำให้เกิดโรคระบาดไปทั่วแผ่นดิน
แม้จะมีปัญหาเหล่านี้ วัฒนธรรมจีนก็ยังอยู่รอด  ในตอนเหนือ ผู้บุกรุกร่อนเร่ก็ตั้งรกรากและรับเอาขนบธรรมเนียมของจีนมาเป็นของตนในที่สุด  ในตอนใต้ การเก็บเกี่ยวได้ผลดีและการค้าขายที่เจริญเพิ่มขึ้นคนช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จ แม้กระนั้น คนจีนส่วนใหญ่นำชีวิตไปสู่ความยากลำบาก
เทือกเขาหิมาลัย
เทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่นี้เป็นแนวกั้นจีนจากการรุกรานทางตะวันตกเฉียงใต้

การเปลี่ยนแปลงระบบความเชื่อ

          ความวุ่นวายหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นที่นำไปสู่​​การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระบบความเชื่อของจีน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนดำเนินชีวิต

ลัทธิขงจื้อ เป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวจีนหันไปหาลัทธิขงจื้อเพื่อความสะดวกสบายและคำแนะนำ  ลัทธิขงจื้อเป็นระบบความเชื่อ ที่อยู่บนพื้นฐานความคิดของขงจื้อ (มีชีวิตอยู่ระหว่าง 551-479 ปี ก่อนคริสต์ศักราชเขาเป็นนักปราชญ์ผู้สอนคุณธรรมศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งเป็นความคิดที่เกี่ยวกับความถูกต้องและความผิด ในคำสอนของขงจื๊อเน้นหลักการเหล่านี้:
การใช้ความสัมพันธ์ที่เหมาะสมในการจัดระเบียบทางสังคม
การเคารพครอบครัวและปู่ย่าตายาย (คนรุ่นก่อน ๆ)
การทำให้ประชาชนและสังคมได้รับการศึกษา
การกระทำในวิถีทางที่ถูกต้องทางศีลธรรม

ลัทธิขงจื้อมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของชาวจีน ลัทธิขงจื้อมีผลต่อรูปโฉมหลายแง่มุมของการปกครองและสังคมจีน ตัวอย่างเช่น ขงจื๊อสอนว่า คนจะก้าวหน้าในชีวิตด้วยการศึกษา  การเน้นความสำคัญกับการศึกษาก่อให้เกิดการจัดตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการฝึกอบรมอย่างดี
แนวความคิดของขงจื๊อยังมีอิทธิพลต่อสังคม  เขาคิดว่าสังคมควรจะจัดการความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานห้าอย่าง มาตรฐานทางจริยธรรมจะดูแลความสัมพันธ์เหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งระหว่างผู้ปกครองและประชาราษฎร์ ขงจื๊อสอนว่าผู้ปกครองควรจะมีความเที่ยงธรรมและมีเมตตา ราษฎรควรจะซื่อสัตย์และเชื่อฟังกฎหมาย ความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ อยู่บนพื้นฐานของครอบครัว ขงจื๊อเชื่อว่า ลูก ๆ จะต้องมีความเคารพต่อพ่อแม่และปู่ย่าตายายของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ประมาณคริสต์ศักราช 200  ลัทธิขงจื้อเริ่มเสื่อมอิทธิพลเมื่อราชวงศ์ฮั่นสูญเสียอำนาจ

การเผยแพร่เข้ามาของพุทธศาสนา ในขณะที่ลัทธิขงจื้อเสื่อมอิทธิพลลง ชาวจีนจำนวนมากหันไปนับถือศาสนาพุทธ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เริ่มต้นในอินเดียและมีพื้นฐานมาจากคำสอนของ เจ้าชายสิทธารถะ  เคาตะมะ (Siddhartha Gautama - sihd• DAHR•tuh GOW•tuh•muh - บาลี เป็น สิทธัตถะ โคตมะ) พระองค์มีชีวิตอยู่ประมาณ 566-486 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และเป็นที่รู้จักว่า พระพุทธเจ้า หรือ "ผู้ตรัสรู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (Enlightened One)"
พุทธปฏิมากร
พระพุทธปฏิมากรประทับนั่งขนาดมหึมานี้ ประดิษฐานอยู่ในถ้ำ ไกลจากกรุงปักกิ่งไปทางตะวันตก
ประมาณ 150 ไมล์ (ประมาณ 240 กิโลเมตจร) น่าจะสลักประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 5
พุทธศาสนาสอนหลักการดังต่อไปนี้:
ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต (ทุกข์)
เหตุผลที่คนประสบความทุกข์ก็เพราะพวกเขายึดมั่นกับวัตถุและความเห็นแก่ตัวจนเกินไป (ตัณหา)
ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างชาญฉลาด (ใช้ปัญญา ไม่ใช้ตัณหาในการดำเนินชีวิต) มีคุณธรรมและมีความคิดที่มีเหตุผล รู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นจนเกินไป รู้จักพอเพียง ในที่สุด คนก็สามารถเรียนรู้การพ้นจากความทุกข์ได้ (นิโรธและมรรค) สรุปก็คืออริยสัจ 4 (น่าสังเกต ฝรั่งยังเข้าใจศาสนาพุทธมากกว่าคนไทยที่ถือว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ – ผู้แปล)
ในช่วงคริสต์ศตวรรษแรก คณะผู้สอนศาสนาและเหล่าพ่อค้าก็นำคำสอนทางพุทธศาสนาไปยังประเทศจีน (ดูแผนที่) เมื่อเวลาผ่านไป ศาสนาพุทธก็เผยแพร่ออกไปในเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาที่ผู้คนถือปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนราชวงศ์ฮั่นลดลง คำสอนทางพุทธศาสนาช่วยให้ผู้คนอดทนต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการล่มสลายของราชวงศ์
แผนที่การเผยแพร่พุทธศาสนา
แผนที่การเผยแพร่พุทธศาสนา 500 ปี ก่อน ค.ศ. - ค.ศ. 500
อิทธิที่มีต่อลัทธิขงจื้อ ลัทธิขงจื้อเริ่มพอใจไปกับการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่ละน้อย ๆ เริ่มเกิดขึ้นในความคิดขงจื้อ ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วนเหล่านี้ ลัทธิเต๋าเป็นระบบความเชื่อที่พยายามกลมกลืนกับธรรมชาติและความรู้สึกภายใน ลัทธิเต๋าเริ่มต้นขึ้นในประเทศจีนในศตวรรษที่ ก่อนคริสต์ศักราช
ลัทธิขงจื้อได้จัดตั้งจริยธรรมทางสังคมและหลักการทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่ เพราะราชวงศ์ฮั่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งหรือซ้อง  นักปราชญ์ขงจื้อได้ผสมผสานศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเข้าในลัทธิขงจื้อ เป็นผลให้ลัทธิขงจื้อขยายมุมมองของตนกว้างออกไป
การเปลี่ยนในความคิดของขงจื้อ ลัทธิขงจื้อแนวใหม่นี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์และความสัมพันธ์กับจักรวาลของบุคคลเป็นอย่างมาก เน้นที่หลักการต่อไปนี้:
หลักศีลธรรมคือเป้าหมายสูงสุดที่คนสามารถเข้าถึงได้
ศีลธรรมนี้สัมฤทธิ์ผลได้ด้วยการศึกษา
การศึกษาสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยหนังสือ การสังเกตหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ที่ชาญฉลาด

ราชวงศ์สุย (Sui) และราชวงศ์ถัง (Tang) รวบรวมจีนขึ้นมาใหม่

          หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น ประชาชนชาวจีนอดทนกับความสับสนวุ่นวายและความขัดแย้งมากกว่า350 ปี ในที่สุด ราชวงศ์สุย (หมายความว่า พลิ้วไหว) ก็รวบรวมจีนขึ้นใหม่ในคริสต์ศักราช 589 และจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ราชวงศ์สุยปกครองจนถึงคริสต์ศักราช 618

ราชวงศ์สุย หยางเจียนได้ก่อตั้งราชวงศ์สุย เขาเป็นแม่ทัพในกองทัพของราชวงศ์โจว (โจ้ – Zhou, Joh) ซึ่งเป็นผู้ปกครองทางตอนเหนือของจีน ในคริสต์ศักราช 581 เขาเข้ามากุมอำนาจด้วยการฆ่าทายาทและมอบราชบัลลังก์ให้กับโจว หลานชายของตัวเอง ครั้นแล้ว เขาก็สังหารหมู่พระราชโอรส 59 พระองค์  ประมาณคริสต์ศักราช 589 เขาพิชิตตอนใต้และรวบรวมจีนขึ้นใหม่ เขาประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์สุย ต่อมา เขาก็กลายเป็นที่รู้จักกันในนาม เหวินตี้ (Wendi)
กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นใหม่หลายส่วนในสมัยจักรพรรดิเหวินตี้ เพื่อป้องกันการบุกรุกจากภายนอก
ทอดยาวไปตามภูเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง
เหวินตี้รวบรวมจีนเป็นเอกภาพอีกครั้ง ในช่วงการปกครองของเหวินตี้ ทำให้ชาวจีนรู้สึกเป็นเอกภาพมากขึ้น เขาฟื้นฟูประเพณีทางการเมืองแบบเก่าที่ทำให้ชาวจีนนึกถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ในการขึ้นครองบัลลังก์ เขายอมรับของขวัญที่ยิ่งใหญ่แบบดั้งเดิม คือ ประตูบ้านสีแดงและเสื้อคลุมมีผ้าคาดเอวสีแดง
เหวินตี้ ยังช่วยลดความขัดแย้งด้วยการปล่อยให้ประชาชนปฏิบัติตามระบบความเชื่อของตัวเอง แม้ว่าเขาจะเป็นชาวพุทธเขาก็ให้การสนับสนุนความเชื่อและการปฏิบัติของเต๋า (เหมือนกษัตริย์พุทธคนอื่น ๆ เช่น พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียว หรือแม้แต่ในหลวงของไทยเราในปัจจุบัน)
เหวินตี้ ยังได้เริ่มโครงการงานสาธารณะอีกด้วย  เขาได้สร้างกำแพงเมืองจีน (the Great Wall) บางส่วนขึ้นมาใหม่ เขายังเริ่มสร้างคลองต้ายุ่นเหอหรือต้ายวิ่นเหอ (Grand Canal) เชื่อมต่อแม่น้ำฮวงเหอหรือแม่น้ำเหลือง (Yellow River) และแม่น้ำชางเจียง (Chang Jiang หรือ Yangtze River - แม่น้ำแยงซี) เชื่อมโยงจีนตอนเหนือและตอนใต้ ชาวไร่ชาวนาหลายพันคนใช้แรงงานขุดคลองต้ายุ่นเหอถึงห้าปี เกือบครึ่งหนึ่งเสียชีวิตในระหว่างโครงการ
เหวินตี้และทายาทของเขา ชื่อ หยางตี้ ได้เพิ่มภาษีเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนโครงการเหล่านี้ทั้งหมด  ในที่สุด ชาวจีนก็เหน็ดเหนื่อยจากภาษีสูงและพวกเขาก็ไม่เห็นด้วย เป็นผลให้ราชวงศ์ล่มสลายหลังจากนั้นเพียง 37 ปีเท่านั้น
แผนที่ราชวงศ์สุยและถัง
แผนที่ราชวงศ์สุยและถัง  ค.ศ. 581 - 907
ราชวงศ์ถัง แม้ว่า ราชวงศ์สุยจะครองบัลลังก์เพียงเวลาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็สร้างรากฐานให้กับราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ถังเริ่มต้นขึ้นในคริสต์ศักราช 618 และปกครองมานานเกือบ 300 ปี ในช่วงเวลานี้ จีนได้ขยายชายแดนทุกด้าน นอกจากนี้ จักรพรรดิถึงก็ขยายเครือข่ายถนนและคลองเพื่อนำประเทศไปพร้อม ๆ กัน  การค้าขายได้เจริญรุ่งเรืองบนถนนสายไหมและจีนได้สร้างการเชื่อมโยงไปยังตะวันตกได้อย่างเข้มแข็ง อาณาจักรขนาดใหญ่เช่นนั้น จำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากเพื่อบริหารจัดการอาณาจักร ดังนั้น จักรพรรดิถังจึงนำความคิดของขงจื้อเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐบาลควรจะดำเนินงานมาใช้อย่างเต็มที่  ราชวงศ์ถังก็เหมือนกับราชวงศ์สุย ใช้การตรวจสอบรัฐเพื่อหาบุคคลที่มีคุณสมบัติในการทำงานของรัฐบาล ระบบรัฐบาลถังเป็นหนึ่งในรัฐที่ทันสมัยและมีความซับซ้อนที่สุดของโลกในเวลานั้น

จักรพรรดิถัง จักรพรรดิไท่จง (Taizong - ty•johng) ช่วยพ่อของเขา คือ เกาจู่ (gow•joo) ก่อนตั้งราชวงศ์ถัง ไท่จงยึดบัลลังก์ในคริสต์ศักราช 626 หลังจากที่ฆ่าพี่น้องสองคนของตัวเองและลูกชายทั้งสิบของพี่น้องของตัวเอง แม้ว่าไท่จงจะใช้ความรุนแรงเพื่อขึ้นสู่อำนาจ ชาวจีนจำนวนมากคิดว่าเขาเป็นผู้นำที่ยุติธรรมและเที่ยงตรง ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ได้เก็บภาษีชาวนาสูงเกินไป นอกจากนี้เขายังเอาดินแดนบางส่วนจากดินแดนที่อุดมสมบูรณ์มอบให้แก่ชาวนา
ในคริสต์ศักราช 690 อู่เจ้า (Wu Zhao - woo jow) ได้ประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิ เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มีชื่อในการครองบัลลังก์ของจีน อู่เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้นำที่มีความสามารถ เธอลดภาษี กำจัดการทุจริตของรัฐ และสนับสนุนพุทธศาสนาในประเทศจีนอย่างเข้มแข็ง เธอไม่ได้สละอำนาจจนกระทั่งคริสต์ศักราช 705 ซึ่งในขณะนั้นเธออายุมากกว่า 80 ปี
-----------------------------------------

ผู้สร้างประวัติศาสตร์

   อู่เจ้า (มีชีวิตระหว่างคริสต์ศักราช 627-705)
อู่เจ้า
อู่เจ้า
          อู่เจ้า ยังได้รับการเรียนขานว่า อู่ เจ๋อเทียน (Wu Zetian) อีกด้วย ถูกส่งไปยังราชสำนักของจักรพรรดิจีนตอนอายุ 14 ปี เธอได้รับมอบหมายให้ทำงานในการศึกษาของจักรพรรดิซึ่งเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการต่างประเทศ การเมือง และการสร้างนโยบายสาธารณะ ความรู้นี้ได้ช่วยเธอตอนที่เธอกลายเป็นจักรพรรดิ   
        ภายใต้การนำของอู่เจ้า การเกษตรของจีนได้ปรับตัวดีขึ้น เธอกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาที่ดินมากขึ้นเพื่อใช้การชลประทานและการทดลองเทคนิคใหม่ ๆ นอกจากนั้นเธอยังต่อสู้ในการนำความเสมอภาคมาให้สตรีมากขึ้นและให้นักวิชาการเขียนชีวประวัติของผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีน
----------------------------------------
วัฒนธรรมถัง ในสมัยราชวงศ์ถัง วรรณกรรมและศิลปะจีนได้เจริญถึงจุดสูงสุด ยุคสมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในเรื่องบทกวีชั้นเยี่ยมและมีชีวิตชีวา ผู้ชายทุกคน ที่ถือว่าตัวเองว่าเป็นสุภาพบุรุษ ภาคภูมิใจในความสามารถการเขียนบทกวี นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่า นักกวีมากกว่า 2,200 คนมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง บทกวีของพวกเขาเกือบ 50,000 บทยังคงเหลืออยู่
รูปปั้นม้าแห่งราชวงศ์ถัง
รูปปั้นม้าราชวงศ์ถังนี้ เคลือบเงาด้วยสีหลากหลาย
ประติมากรรมยุคราชวงศ์ถังงามสง่า ศิลปินเคลือบรูปปั้นดินเหนียว มีความสวยงาม สีแดง สีเขียว สีขาวและสีส้ม เป็นเงามัน ใบหน้าของสัตว์เป็นงานฝีมือที่เยี่ยม ซึ่งแต่ละอันมองดูโดดเด่น ที่พบมากที่สุดเป็นประติมากรรมอูฐและม้า เพราะความงามของประติมากรรม ผลงานเหล่านี้เป็นรายการสินค้าที่มีคุณค่า  นอกจากนี้ผู้คนมักจะวางประติมากรรมไว้ในหลุมฝังศพของญาติพี่น้องที่เคารพนับถือ
  ความเจริญก้าวหน้า
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง

การสร้างรัฐของจักรพรรดิ

           การปกครองประเทศที่มีขนาดใหญ่เช่นประเทศจีนเป็นงานที่ยาก เพื่อให้การปกครองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เหล่าผู้ปกครองราชวงศ์ถัง จึงได้พัฒนารัฐแบบจักรวรรดิ
    ราชวงศ์ถังใช้ความคิดหลายอย่างที่ได้เรียนรู้จากราชวงศ์สุยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่มีการบริหารจัดการที่ดี การบริหารและการจัดการด้านทหารได้ดำเนินตามแบบราชวงศ์สุยเป็นส่วนใหญ่  นอกจากนี้ ราชวงศ์ถังได้ใช้ระบบภาษีแบบราชวงศ์สุย แม้พวกเขาจะยกเมืองหลวงของราชวงศ์สุย คือ ฉางอาน (Ch'ang-an) ให้เป็นเมืองหลวงของพวกเขา ฉางอานเป็นสิ่งสำคัญเพราะตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่สำคัญ
ทรัพย์สินของหวางเหว่ย
ภาพนี้วาดเลียนแบบนักกวีและศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง คือ หวางเหว่ย
การปกครองของจีน การปกครองของราชวงศ์ถังเป็นเหมือนกับรูปปิรามิด จักรพรรดิปกครอง ณ จุดสูงสุดและคนจำนวนมากทำหน้าที่ในระดับต่าง ๆ อยู่ใต้จักรพรรดิ หัวหน้าที่ปรึกษาจักรพรรดิรับใช้จักรพรรดิโดยตรง พวกเขาอยู่ในระดับสูงสุดรองลงมาจากจักรพรรดิในระบบปกครองแบบรูปพีระมิด
ด้านล่างที่ปรึกษาเหล่านี้เป็นระบบราชการ  ระบบราชการคือการปกครองที่แบ่งออกเป็นแผนก แต่ละแผนกในจีนจะรับผิดชอบหน้าที่ที่แน่นอน เช่น เก็บภาษี การเกษตรหรือกองทัพ ระบบการเมืองนี้ได้ปกครองจีนทั้งหมด รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศจีนต้องรายงานราชการส่วนกลาง

ประมวลกฎหมาย  เหล่าผู้ปกครองแห่งราชวงศ์ถัง ได้สร้างประมวลกฎหมายขึ้นมาใหม่ ซึ่งบรรจุกฎหมายของประเทศจีนทุกฉบับเพื่อให้กฎหมายที่คล้ายกันใช้ได้ในทุก ๆ ที่ ประมวลกฎหมายใหม่นี้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูง จีนใช้ประมวลกฎหมายนี้ตั้งแต่ประมาณคริสต์ศักราช 624 จนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12

นักปราชญ์ราชบัณฑิต ราชวงศ์ถังจำเป็นต้องให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อการทำงานในระบบราชการ สำหรับงานจำนวนมากในระบบราชการ ผู้คนต้องได้รับการทดสอบจากรัฐบาล ราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์สุย ยังทดสอบผู้สมัครงานอีกด้วย  แต่ผู้ปกครองแห่งราชวงศ์ถังได้ขยายระบบ อย่างกว้างขวาง การสอบของรัฐได้ทดสอบความรู้เกี่ยวกับความคิด บทกวีของขงจื้อและวิชาอื่น ๆ การทดสอบใช้เวลานานและยาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาทดสอบประสบความล้มเหลว
คนที่ผ่านการทดสอบของรัฐจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต ซึ่งเป็นผู้ที่มีการศึกษามีตำแหน่งในรัฐบาล นักปราชญ์ราชบัณฑิตเกือบทั้งหมดมาจากสังคมชั้นสูง คนรวยส่วนใหญ่มีญาติทำงานอยู่ในรัฐบาลและญาติมักจะช่วยกันเข้าทำงาน  โดยทั่วไป จะมีเพียงคนร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถจ่ายเงินเพื่อการศึกษาที่จำเป็นในการผ่านการทดสอบ
ขงจื๊อ
ขงจื๊อเป็นนักปราชญ์จีนที่สอนเรื่องศีลธรรมจริยธรรม
นักปกครองจีนสอนว่าประชาชนที่ปฏิบัติตามแนวคำสอนของขงจื๊อจะเป็นข้าราชการที่ดี
ราชวงศ์ซ้อง (หรือซ่ง) หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ้องหรือซ่งได้ปกครองตั้งแต่คริสต์ศักราช 960-1279  ราชวงศ์ซ่งได้ขยายและปรับปรุงระบบการสอบ โดยการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นเป็นอันมากและเปลี่ยนแปลงการสอบเพื่อให้ครอบคลุมวิชาการปฏิบัติให้มากขึ้น คนเข้ามาสอบ ผ่านการทดสอบ และเข้ารับราชการมากขึ้น  แต่กระนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนมากก็มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยเต็มไปด้วยอิทธิพลทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง
รัฐทำการสอบผู้เข้ารับราชการ
ภาพวาดนี้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์จีน เขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 16
ในภาพ นักปราชญ์กำลังทำการสอบเพื่อเข้าราชการต่อหน้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ซ้องที่สวมชุดเหลือง

ความเจริญรุ่งเรืองจากการค้าขายและการทำการเกษตร

          ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง เศรษฐกิจจีนขยายตัวขึ้น ในความเป็นจริงประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีการพัฒนามากที่สุดในโลก ปัจจัยหนึ่งในการเจริญเติบโตนี้คือระบบการขนส่งที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น

การเปลี่ยนแปลงในการเดินทางและการค้าขาย รัฐบาลสร้างถนนและทางน้ำหลายสาย ระบบการขนส่งนี้ช่วยเชื่อมโยงจักรวรรดิจีนร่วมกัน
การขนส่งที่ดีขึ้นได้ปรับปรุงการค้าขายให้ดีขึ้น  เหล่าพ่อค้าได้ใช้ถนนใหม่ขนย้ายเมล็ดข้าว ชาและสินค้าอื่น ๆ  ตามถนนมีโรงแรมขนาดเล็กที่นักท่องเที่ยวสามารถพักแรมได้ คนส่งสาส์นและคนส่งข่าวขี่ม้านำสาส์นทางราชการไปบนถนน ซึ่งทำให้การสื่อสารดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ทางน้ำมีความสำคัญมากทีเดียว รัฐบาลจึงซ่อมแซมคลองเก่าและสร้างคลองใหม่ขึ้นเพื่อเชื่อมโยงแม่น้ำสายหลัก ส่งผลให้การขนส่งทางน้ำเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและผู้คน
การค้าขายปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งเรือขนาดยักษ์ขับเคลื่อนด้วยฝีพายและใบเรือ เรือนั้นทำให้การเดินทางเร็วขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น การพัฒนาเข็มทิศแม่เหล็กได้ทำให้การเดินทางในทะเลอันเวิ้งว้างให้ดีขึ้นด้วย
----------------------------------------

การเชื่อมโยงกันระหว่างภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์

การทำนาข้าวแบบขั้นบันได

การทำนาแบบขั้นบันได
การทำนาแบบขั้นบันได
1. เกษตรกรชาวจีนได้ขนย้ายดินจำนวนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนความชันของเนินเขาให้เป็นขั้นบันไดตามลำดับ
2. แล้วเกษตรกรก็สร้างคันดินขึ้นตามขอบของขั้นบันไดแต่ละขั้น
3.  ท้ายสุด เกษตรกรก็ไขน้ำเข้านาใหม่ก่อนที่จะปลูกต้นกล้า โดยทั่วไป ข้าวจะได้รับการปลูกในน้ำสูงประมาณสี่นิ้ว
----------------------------------------
การเปลี่ยนแปลงในด้านเกษตรกรรม ประมาณคริสต์ศักราช 1000 เกษตรกรชาวจีนก็เริ่มปลูกข้าวชนิดใหม่จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้าวชนิดนี้สุกเร็วกว่าชนิดที่พวกเขาเคยใช้มาก่อน เพราะข้าวชนิดใหม่ เกษตรกรสามารถส่งเสริมพืชพันธุ์ธัญญาหารสองหรือแม้กระทั่งสามอย่างต่อปีแทน การกระจายอาหารได้ขยายอย่างรวดเร็วช่วยให้ประชากรเจริญเติบโตไปประมาณ100 ล้านคน
ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้อง ชาวจีนได้เปลี่ยนพื้นที่ลุ่มแม่น้ำฉางเจียงให้เป็นนาข้าวอันอุดม เกษตรกรใช้เครื่องสูบน้ำและคลองเพื่อระบายน้ำจากบึง พวกเขาสร้างที่ดินเป็นขั้นบันไดบนเนินเขาและใช้ระบบชลประทานที่ซับซ้อนเพื่อนำน้ำลงไปสู่บึง  ด้วยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เกษตรกรจีนได้รับที่ดินทำกิน  ที่ดินที่เพิ่มขึ้นช่วยให้พวกเขาปลูกข้าวได้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และภูมิอากาศหนาวทำให้จีนตอนใต้ปลูกข้าวได้มากกว่าคนที่อยู่ในพื้นที่ที่จำเป็น เกษตรกรได้ขายข้าวพิเศษให้กับพ่อค้า ซึ่งจัดส่งทางคลองไปยังศูนย์กลางของจักรพรรดิในทางตอนเหนือของประเทศจีน การมีอาหารพิเศษหมายความว่าคนน้อยคนนักที่จำเป็นจะต้องทำงานเป็นเกษตรกร เป็นผลให้ผู้คนจำนวนมากสามารถทำงานด้วยการค้าขาย

การเปลี่ยนแปลงในด้านการพาณิชย์ ในสมัยราชวงศ์ซ้อง การค้ากำลังเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีน เรือและเรือสินค้าบรรทุกสินค้าไปตามคลองและแม่น้ำและตามแนวชายฝั่งของประเทศจีน ตลอดจนบรรทุกอาหารและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของจีนไปยังดินแดนต่างประเทศเช่นเกาหลีและญี่ปุ่น
การเจริญเติบโตของการค้าขายนำไปสู่การขยายตัวอย่างรวดเร็วในการใช้เงินในรูปแบบของเหรียญ เพื่อ ชำระค่าสินค้า  อย่างไรก็ตาม เหรียญจำนวนมากก็หนักและยากที่จะนำติดตัวไป  เพื่อแก้ปัญหานี้  รัฐบาลแห่งราชวงศ์และราชวงศ์ซ้อง
เริ่มที่จะพิมพ์เงินกระดาษ เป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ ที่ทำเช่นนั้น
เงินจีน
ชาวจีนพัฒนาธนบัตรเป็นครั้งแรกในโลก
ในขณะที่การค้าขายเจริญเจริญขึ้น ผู้คนกลายเป็นพ่อค้ามากขึ้น ชนชั้นพ่อค้าของจีนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ซึ่งมีการค้าขายส่วนตัวมากที่สุด เมืองใหญ่เจริญเติบโตและเจริญรุ่งเรือง ในสมัยราชวงศ์ซ้อง จีนมีเมืองใหญ่ไม่กี่เมืองมีประชากรประมาณ 1,000,000 คน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ปารีส ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเมืองหนึ่ง มีประชากรเพียง 150,000 คนเท่านั้นในช่วงเวลานั้น

ยุคแห่งความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม

          ราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้องอยู่ท่ามกลางยุคที่สร้างสรรค์ที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทกวีและศิลปะเจริญรุ่งเรืองในเวลานั้น
ยุคทองของบทกวีและศิลปะ นักเขียนแห่งราชวงศ์ถังสามคน คือ หลี่ไป๋ (Li Bai) ตู้ฝู่ (Du Fu) และหวังเหว่ย (Wang Wei) ถือว่าเป็นนักกวีจีนผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทุกยุค หลี่ไป๋ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับความสุขของชีวิต ตู่ฝู่ยกย่องความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคุณธรรมของขงจื้อ และหวังเหว่ย ได้เขียนถึงความงามของธรรมชาติและสาระสำคัญของชีวิต
ศิลปินแห่งราชวงศ์ถังยังเป็นที่รู้จักกันในการผลิตตุ๊กตาดินที่สวยงาม ในสมัยราชวงศ์ซ้อง การวาดภาพภูมิทัศน์กลายเป็นรูปแบบศิลปะที่มีความสำคัญ จิตรกรแห่งราชวงศ์ซ้องใช้เพียงหมึกสีดำในทุก ๆ เฉดสีตั้งแต่สีเทาอ่อนจนถึงสีดำทึบ ในขณะที่ศิลปินแห่งราชวงศ์ซ้องคนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า "สีดำคือสีสิบสี"  ปัจจุบันนี้ รูปปั้นตุ๊กตาดินแห่งราชวงศ์ถังและภาพทิวทัศน์แห่งราชวงศ์ซ้องสามารถพบได้ในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก
-----------------------------------------

แหล่งที่มาปฐมภูมิ

หวังเหว่วย
ภาพวาดหวังเหว่ย
ภูมิหลัง หวังเหว่ย (ดูรูป) มีชีวิตอยู่ระหว่างคริสต์ศักราช 699-759 เป็นหนึ่งในกวีที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ถัง
----------------------------------------
กระดาษและการพิมพ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น จีนเริ่มทำกระดาษจากเส้นใยเยื่อไม้ กระดาษใช้เขียนได้ดีกว่าเขียนบนไม้ไผ่ขนาดใหญ่หรือผ้าไหมที่มีราคาแพง ในขณะที่ราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ้องเจริญรุ่งเรือและการค้าขยายตัว รัฐบาลก็ได้มีการบันทึกมากขึ้นเพื่อเก็บรักษาไว้ ดังนั้นจีนเริ่มที่จะทำและใช้กระดาษในปริมาณมาก
ชาวจีนได้ใช้แม่พิมพ์บล็อกไม้ ช่างพิมพ์ได้แกะสลักแม่พิมพ์ไม้ที่มีตัวอักษรพอที่จะพิมพ์หน้าทั้งหน้า ต่อมา ช่างพิมพ์ในเอเชียตะวันออก ได้สร้างตัวพิมพ์ที่เคลื่อนย้ายได้  โดยใช้กระดาษและการพิมพ์ ชาวจีนสามารถพิมพ์หนังสือได้ง่ายขึ้น หนังสือที่สมบูรณ์แบบที่เก่าแก่ที่สุด ที่พิมพ์ในประเทศจีน สร้างขึ้นในคริสต์ศักราช 868 หนังสือนั้นรวบรวมคำสอนของพุทธศาสนาที่เรียกว่า วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (the Diamond Sutra)
ปืนและเข็มทิศ เทคโนโลยีของจีนมีผลกระทบไปทั่วโลก หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของจีน คือ ดินปืน   ชาวจีนใช้ดินปืนครั้งแรกเป็นดอกไม้ไฟและพลุสัญญาณและต่อมาใช้เป็นอาวุธ ตัวอย่างเช่นพวกเขาผูกห่อดินปืนกับลูกศร ครั้นแล้วก็ขมวดลูกศรเข้าด้วยกันและยิงไปที่ศัตรู
การใช้ดินปืนแพร่กระจายไปทั่วเอเชียและยุโรป คนใช้ดินปืนในการพัฒนาอาวุธใหม่ ๆ เช่น ปืนใหญ่และอาวุธปืน ลูกปืนใหญ่สามารถถล่มกำแพงปราสาทและลูกกระสุนปืนอาจจะตรงไปทะลุเกราะ อาวุธเหล่านี้ได้ทำสงครามให้ร้ายแรงมากขึ้น
เข็มทิศแม่เหล็กที่ทำให้การเดินทางในมหาสมุทรปลอดภัยกว่าเคยเป็นมาก่อน จีนค้นพบว่าเข็มแม่เหล็กที่ลอยอยู่ในชามน้ำมักจะชี้ไปทางทิศเหนือและทิศใต้ นี้กลายเป็นครั้งแรกที่เข็มทิศแม่เหล็กถูกใช้บนเรือ ด้วยการใช้เข็มทิศ ชาวจีนจึงแล่นเรือไปทั่วเอเชีย ในคริสต์ศตวรรษที่ 13  ชาวจีนเดินทางไปไกลถึงแอฟริกา ความรู้เกี่ยวกับเข็มทิศแม่เหล็กช่วยทำให้ยุคแห่งการสำรวจของชาวยุโรปมีศักยภาพ

เครื่องลายครามและชา ชาวจีนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน ด้วยการส่งออกเครื่องลายครามและชาไปทั่วโลก เครื่องลายครามคือเซรามิกสีขาวแข็งมักจะเรียกว่า china  ผู้คนต้องการเครื่องลายครามเพราะความงามของมัน มันกลายเป็นสินค้าส่งออกที่มีคุณค่ามากที่สุดอย่างหนึ่งของประเทศจีน
เป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวจีนได้ใช้ชาเป็นยา  ในสมัยราชวงศ์ถัง มันกลายเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยม ต่อมา พ่อค้าได้นำชาจากเอเชียตะวันออกไปยังยุโรป ชากลายเป็นรายการที่สำคัญของการค้าขายในตลาดต่างประเทศ
แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมาก จีนก็ยังคงต้องเผชิญกับอันตรายจากคนเผ่าร่อนเร่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ผู้นำของคนเผ่าร่อนเร่เหล่านี้อาจจะเป็นหนึ่งของผู้พิชิตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทุกยุคทุกสมัย เขาคือ เจงกีสข่าน (Genghis Khan)
ถ้วยน้ำชาจีน
ถ้วยน้ำชาของจีน จีนทำเครื่องลายคราม เช่น ถ้วยน้ำชาวใบนี้ ขายไปไกลถึงยุโรป
และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (แถบตะวันออกกลาง)
 จักรวรรดิมองโกล

การรุกรานของมองโกล

          มองโกลคือนักรบเร่ร่อนที่ดุร้ายอาศัยอยู่ในที่ราบกว้างใหญ่ไปถึงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พวกมองโกลบุกเข้ามาจีนและพิชิตจีนได้

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ชาวมองโกลอาศัยเป็นกลุ่มครอบครัวที่เป็นอิสระ เรียกว่า เผ่า (clans) ชนเผ่าเหล่านี้รวมเข้าด้วยกันเป็นหลายชนเผ่าซึ่งเป็นอิสระจากกัน แต่ประมาณคริสต์ทศวรรษที่ 1206 ผู้นำที่เข้มแข็งชื่อ เตมูจิน (Temujin - TEHM•yuh•juhn) ได้รวบรวมชนเผ่ามองโกลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อต่อสู้ตัวต่อตัวเพื่อเลือกผู้นำ เตมูจินเอาชนะคู่แข่งทั้งหมด ด้วยการทำเช่นนี้ เตมูจินก็กลายเป็นข่าน(khan) หรือผู้ปกครองของชาวมองโกลทั้งหมด เขาได้นามว่า เจงกีสข่าน (Ghenghis Khan - JEHNG•gihs KHAN) ซึ่งหมายความว่า "นักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ (Universal ruler)" เจงกีสข่าน ได้จัดระเบียบนักรบมองโกลให้เป็นกองทัพเพื่อการต่อสู้อันเกรียงไกรและเริ่มทำการศึกษาสงครามเพื่อพิชิตดินแดนต่าง ๆ  เจงกีสข่านนักยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งใช้กลอุบายและกลยุทธ์ความหวาดกลัวโหดร้ายเพื่อสร้างความสับสนให้กับศัตรู เขาบุกเข้ามาในจีนตอนเหนือ จากนั้นก็เคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันตกข้ามเอเชียกลาง
ย้อนดูประวัติศาสตร์ทั้งหมด ชนเผ่าเร่ร่อนมักจะมีความได้เปรียบทางทหารมากกว่าคนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่เดิม ผู้คนที่ตั้งหลักแหล่งอยู่เดิมพยายามที่จะปกป้องเมืองใหญ่และเมืองเล็กของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าเร่ร่อนเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว มองหาจุดที่อ่อนแอ โจมตีและเคลื่อนย้ายออกไปอยู่ ข้อนี้ ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในสงคราม ประมาณคริสต์ศักราช 1227 ชาวมองโกลได้พิชิตเอเชียกลางทั้งหมด
ภาพวาดนักรบมองโกล
ภาพวาดนักรบมองโกลนี้ได้จากเปอร์เซียวาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14
ในภาพ นักรบมองโกลเตรียมทำสงคราม โกลน (ห่วงที่ห้อยลงจากอานม้าสำหรับใช้เท้าเหยียบ)
ทำให้นักรบใช้เหยียบและใช้มือทั้งสองข้างต่อสู้
จักวรรดิมองโกล เมื่อเจงกีสข่านเสียชีวิตในคริสต์ศักราช 1227 (พ.ศ. 1770) บุตรชายและหลานชายของเขายังต่อสู้เพื่อพิชิตดินแดนต่าง ๆ ต่อไป  พวกเขาเคลื่อนทัพไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออกพิชิตส่วนที่เหลือของจีนตอนเหนือและเกาหลีทุ้งหมด ต่อมา พวกเขาเคลื่อนทัพไปทางทิศตะวันตกข้ามเอเชียเข้าไปในรัสเซียและยุโรปตะวันออก ในที่สุดพวกเขาก็เคลื่อนทัพลงมาทางใต้และยึดครองเปอร์เซีย การโจมตีเฉพาะในญี่ปุ่นและบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้นที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ประมาณคริสต์ศักราช 1279 มองโกลปกครองดินแดนจักรวรรดิที่เป็นปึกแผ่นอันกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ในการปกครองพื้นที่อันยิ่งใหญ่ มองโกลแบ่งดินแดนออกเป็นสี่ภูมิภาค  ในแต่ละภูมิภาค เรียกว่า khanate (อาณาจักรข่าน) ปกครองโดยทายาทของเจงกีสข่าน
แผนที่จักรวรรดิมองโกล
แผนที่จักรวรรดิมองโกล  ค.ศ.  1294 ในขณะที่กุบไลข่านเสียชีวิต
การปกครองของมองโกล หลานชายของเจงกีส คือ กุบไล ข่าน (Kublai Khan - KOO•bly KAHN) ปกครอง Khanate ของข่านผู้ยิ่งใหญ่ Khanate นี้เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของภูมิภาคทั้งสี่เพราะมันรวมดินแดนจีน กุบไลข่านเป็นนักปกครองคนแรกใน 300 ปีที่ปกครองจีนทั้งหมด นอกจากนี้ยังไม่เคยมีอำนาจจากต่างแดนที่ปกครองจีน กระทั่งมองโกลเข้ามาปกครอง กุบไลปกครองเป็นเวลา 15 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในคริสต์ศักราช 1294

การเรียนรู้ในการปกครอง ชาวมองโกลไม่ได้มีประสบการณ์มากกับการปกครองอย่างเป็นทางการ อีกประการหนึ่ง ชาวจีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเกี่ยวกับการจัดการการปกครอง ดังนั้น กุบไลจึงรักษาการปกครองของจีนไว้หลายแง่มุม การใช้รูปแบบที่คุ้นเคยของการปกครองทำให้การปกครองจีนได้ง่ายขึ้นสำหรับชาวมองโกล กุบไลได้ย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงปักกิ่งและสั่งให้สร้างกรุงปักกิ่งขึ้นในสไตล์จีนแบบดั้งเดิม เขาประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิและในคริสต์ศักราช 1279 ได้ก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์หยวนหรือยูอาน (Yuan - YOO•AHN)

การประคับประคองการปกครอง  กุบไลได้รักษาเอกลักษณ์รูปแบบการปกครองของจีนไว้ แต่เขาสร้างความมั่นใจว่านักการเมืองจีนไม่ได้รับอำนาจมากเกินไป เขายังคงควบคุมจีนในเงื้อมือของมองโกล เขายุติระบบการตรวจสอบของรัฐในการเลือกเจ้าหน้าที่ เขาให้งานด้านการปกครองที่สำคัญแก่ชาวมองโกล หรือชาวต่างชาติที่เชื่อถือได้  ชาวมองโกลเชื่อว่าชาวต่างชาติน่าเชื่อถือกว่าชาวจีน เพราะชาวต่างชาติไม่มีความจงรักภักดีต่อประเทศ (คือถ้าเป็นชาวจีนอาจจะก่อกบฏได้ เพราะรู้สึกจงรักภักดีต่อประเทศที่ถูกคนอื่นครอบครอง) เจ้าหน้าที่จีนได้รับตำแหน่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น งานเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับท้องถิ่นและมีอำนาจน้อย
แต่กระนั้น อิทธิพลความคิดของขงจื้อยังคงแข็งแกร่ง ในระหว่างการปกครองของมองโกล  เจ้าหน้าที่มองโกลนำได้วิธีการขงจื้อมาใช้กับการปกครอง นอกจากนี้ กุบไลยังได้แต่งตั้งนักปราชญ์ขงจื้อให้การศึกษาแก่ลูกหลานของขุนนางมองโกล
การค้าขายของมองโกล แม้จะมีความแตกต่างกับจีน กุบไลข่านก็เป็นผู้นำที่มีความสามารถ เขาทำงานในการสร้างจีนขึ้นมาใหม่หลังจากสงคราม เขารื้อฟื้นคลองต้ายวิ่นเหอ (Grand Canal) และขยายขึ้นไปทางเหนือ 135 ไมล์ไปยังกรุงปักกิ่ง และเขาได้สร้างทางหลวงลาดยางยาวกว่า 1,100 ไมล์และเชื่อมต่อกับกรุงปักกิ่งและหางโจว ทางบกและทางน้ำเหล่านี้ทำให้การเดินทางระหว่างทางเหนือและทางใต้ง่ายขึ้น การค้าระหว่างสองภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรทางตอนใต้ที่อุดมสมบูรณ์ขายข้าวให้กับคนทางตอนเหนือที่แห้งแล้วได้มากขึ้น กุบไลยังทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้วยการช่วยส่งเสริมการค้าและการติดต่อกับส่วนอื่น ๆ ของโลก
-----------------------------------------

ผู้สร้างประวัติศาสตร์

กุบไล ข่าน (มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1215 – 1294)
กุบไลข่าน
ภาพวาดกุบไลข่าน
          กุบไลข่านเป็นข่านผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งผู้นำของชาวมองโกลทั้งหมด เขาได้รับชื่อนี้ในคริสต์ศักราช 1260 และตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิของจีนประมาณคริสต์ศักราช 1279
  กุบไล แตกต่างจากชาวมองโกลส่วนใหญ่ ได้ให้ความสนใจในวัฒนธรรมจีน ในเวลาเดียวกัน กุบไลยังคงจงรักภักดีต่อรากฐานมองโกล เพื่อเตือนให้ตัวเองนึกถึงบ้านเกิด เขาจึงปลูกหญ้าจากที่ราบภาคเหนือในสวนหลวงของตนเองที่ปักกิ่ง นอกจากนี้เขายังให้เกียรติบรรพบุรุษของพวกเขาในสไตล์มองโกล ทุก ๆ เดือนสิงหาคม เขาดำเนินการพิธีกรรมพิเศษด้วยการโปรยนมม้าลงพื้นดินและตะโกนเรียกชื่อปู่ของเขา คือ เจงกีส ข่าน
----------------------------------------
การเปิดจีนไปสู่โลก  ในช่วงการปกครองกุบไลข่าน จีนเปิดประตูไปสู่โลกภายนอก ชาวมองโกลได้พัฒนาการค้าขายทางทะเลอันเจริญรุ่งเรืองและการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

เส้นทางการค้าขาย  ชาวมองโกลได้ให้การสนับสนุนการค้าขายโดยการปกป้องนักท่องเที่ยว ในอดีตที่ผ่านมา บางครั้ง จีนได้ปิดเส้นทางการค้าขายทางบก เนื่องจากสงครามและการโจรกรรม ตอนนี้ ชาวมองโกลได้ควบคุมเอเชียกลางทั้งหมด การปกครองของมองโกลทำให้การเดินทางทางบกปลอดภัย ในระยะเวลานี้ ตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 บางครั้งเรียกว่า Pax mongolica หรือสันติสุขมองโกล
กองคาราวานได้เคลื่อนย้ายไปตามถนนสายไหม เส้นทางการค้าโบราณที่ทอดยาวออกจากประเทศจีนไปยังทะเลดำ เหล่าพ่อค้าเอาผ้าไหม เครื่องลายคราม ชา และสินค้าอื่น ๆ ไปยังเอเชียตะวันตกและยุโรป แล้วนำอาหารใหม่ ๆ  พืชและแร่ธาตุกลับมา นอกจากนี้ ชาวมองโกลยังได้ให้การสนับสนุนการค้าขายทางทะเลกับประเทศที่ตั้งอยู่บนมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ เหล่าพ่อค้าในเมืองท่าจีนได้ทำการค้าขายสินค้าทั้งจากตะวันออกและตะวันตกอย่างคึกคัก ความคิดและสิ่งประดิษฐ์ เช่น ดินปืน เดินทางไปพร้อมกับสินค้าสำหรับค้าขาย  สิ่งประดิษฐ์จีนได้เข้าไปยังยุโรป บางส่วนของเอเชียและแอฟริกาในช่วงเวลานี้

การติดต่อกับต่างประเทศ  การค้าขายได้เจริญสัมพันธไมตรีกับผู้คนและวัฒนธรรมต่างประเทศ ผู้คนที่มาจากอารเบีย เปอร์เซียและอินเดียมาเยี่ยมชมมองโกลจีน บ่อย ๆ นักการทูตจากที่ไกล ๆ เช่นยุโรปได้เดินทางไกล อาคันตุกะเหล่านี้ช่วยกระจายข่าวเกี่ยวกับความสำเร็จของอารยธรรมจีน
นอกจากนี้ ผู้แทนแห่งศรัทธาทางศาสนาต่าง ๆ ยังเข้ามาเยี่ยมชมประเทศจีน กุบไลข่านได้ให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนา แต่เขาก็ยินดีต้อนรับผู้คนต่างความเชื่อทั้งหมด เขาได้เชิญชาวคริสต์ มุสลิมและชาวพุทธไปยังเมืองหลวงเขาอยากให้คนเหล่านั้นบรรยายความคิดของตน
อาคันตุกะชาวยุโรปที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงเวลานี้ คือ มาร์โค โปโล (Marco Polo) โปโล เป็นพ่อค้าหนุ่มจากเมืองเวนิส อิตาลี ได้เดินทางตามเส้นทางสายไหมกับพ่อและลุงของเขา เขาเดินทางมาถึงประเทศจีนประมาณคริสต์ศัการาช 1275 และอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 17 ปี โปโลกลายเป็นผู้ช่วยกุบไลข่านและได้เดินทางไปทั่วประเทศจีนด้วยภารกิจของรัฐบาล  ต่อมา เขาได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการผจญภัยของเขา หนังสือของโปโลประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ชาวยุโรปหลายคนค้นพบเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเทศจีนของเขา ซึ่งยากที่จะเชื่อ
แม้จักรวรรดิกุบไลข่านจะมีความแข็งแกร่ง ก็อยู่ได้ไม่นานหลังจากที่กุบไลข่านเสียชีวิต ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งศตวรรษ ชาวจีนได้ล้มล้างมองโกลและสร้างจักรวรรดิจีนขึ้นมาใหม่

 จีนกลับมาปกครองอีกครั้ง

การล้มล้างมองโกล

            หลังจากกุบไลข่านเสียชีวิตในคริสต์ศักราช 1294  มองโกลอ่อนแอลงอย่างช้า ๆ  ในคริสต์ศักราช 1368 กองทัพกบฏนำโดยจู้หยวนจาง (Joo yoo•ahn•jahng) ได้ล้มล้างจักรพรรดิมองโกล
แจกันราชวงศ์หมิง
แจกันลายครามแห่งราชวงศ์หมิงเป็นรูปดอกบัว ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านทั่วไปในจีน
จักรพรรดิหมิงองค์แรก  จู้หยวนจางได้ก่อตั้งราชวงศ์หมิงในคริสต์ศักราช 1368 และกลายเป็นจักรพรรดิองค์แรก ภายใต้ชื่อหงหวู่ (Hongwu - hung•woo) พระองค์ได้ให้การสนับสนุนลัทธิขงจื้อและได้นำการสอบเข้ารับราชการกลับมาใช้ พระองค์ได้สร้างถนนและคลองขึ้นมาใหม่เพื่อช่วยการค้าขาย  นอกจากนี้เขาสร้างและขยายกำแพงเมืองจีนใหม่เพื่อปรับปรุงระบบการป้องกันจีน หงหวู่ ยังช่วยเกษตรกรโดยการลดภาษีและให้พวกเขามีที่ดินทำกิน
อย่างไรก็ตาม หงหวู่ ได้เริ่มขยายอำนาจส่วนตัว พระองค์ได้ล้มเลิกตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีและเข้าควบคุมหน่วยงานราชการทั้งหมด พระองค์ตัดสินใจด้วยพระองค์เองโดยไม่ได้ปรึกษาที่ปรึกษา พระองค์ได้จัดตั้งหน่วยสืบราชการลับไปสอดแนมผู้คน นอกจากนี้ พระองค์รับสั่งให้จับกุมผู้คนหลายหมื่นคนในข้อหากบฏและรับสั่งให้ฆ่า
พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้าม ส่วนใหญ่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของจีน
การปกครองของหย่งเล่อ (Yongle) หงหวู่เสียชีวิตในปีคริสต์ศักราช 1398 พระองค์ได้แต่งตั้งหลานชายเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ แต่ทุกคนไม่ยอมรับทางเลือกนั้น การต่อสู้เพื่ออำนาจจึงเริ่มขึ้น หลังจากกานต่อสู้ผ่านไปเกือบห้าปี หย่งเล่อ (yung•law) บุตรชายคนหนึ่งในบรรดาบุตรชายหลายคนของหงหวู่ ประกาศตัวเองเป็นจักรพรรดิ
หย่งเล่อ ก็เหมือนบิดาของเขา เป็นผู้นำที่มีความแข็งแกร่ง มีความสามารถ ภายใต้การปกครองของเขา ราชวงศ์หมิงมีอำนาจรุ่งเรืองสุดขีด ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของเขาคือการขยายเมืองหลวงปักกิ่ง ณ ส่วนหนึ่งของเมือง มีกำแพงสูงถึง 30 ฟุต ล้อมรอบอาคารและวัดวาอารามที่ซับซ้อนมากกว่า 800 แห่ง ความสลับซับซ้อนนี้กลายเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นพระราชวังต้องห้าม(Forbidden City) เพราะไพร่เมืองและชาวต่างชาติไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองนั้น พระราชวังต้องห้ามเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความสามารถของจีน
หย่งเล่อต้องการให้ชาวโลกรู้จักความยิ่งใหญ่ของเขา ความปรารถนานั้นได้นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่ง ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 14 หย่งเล่อได้ส่งคณะเดินทางทางทะเลหนึ่งชุดไปแสวงหาอารยธรรมอื่น ๆ

การค้าขายและเดินทางไปยังต่างประเทศ

          หย่งเล่อต้องการเครื่องบรรณาการจากประเทศอื่น ๆ เครื่องบรรณาการคือค่าตอบแทนที่ผู้ปกครองหรือคณะผู้บริหารประเทศประเทศหนึ่งให้กับอีกประเทศหนึ่งเพื่อความแน่ใจในการปกป้อง  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ หย่งเล่อได้สร้างเรือเดินสมุทรอันยิ่งใหญ่
แผนที่การเดินเรือของเจิ้งเหอ
แผนที่การเดินเรือของเจิ้งเหอ  ค.ศ. 1405 - 1433
การเดินเรือของเจิ้งเหอ (Zheng He) หย่งเล่อได้เลือกเจิ้งเหอ (Zheng He – juhng huh) เป็นผู้บัญชาการเรือ เจิ้งเหอเป็นมุสลิมที่เจริญเติบโตขึ้นมาในทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ภายใต้การดูแลของหย่งเล่อ เขาเป็นผู้นำการเดินทางเจ็ดครั้ง การเดินทางเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ระหว่างคริสต์ศักราช 1405 และ 1433 นักวิชาการประเมินการเดินทางว่าครอบคลุม 100,000 ไมล์และแวะเยือนประเทศประมาณ 30 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย อารเบียและแอฟริกา (ดูแผนที่)
การเดินเรือไปยังต่างประเทศของเจิ้งเหอเป็นที่น่าประทับใจ หลายครั้งมีเรือมากที่สุดถึง 300 ลำและผู้คนถึง 28,000 คน นอกจากกะลาสีและลูกเรือแล้ว ยังมีทหาร แพทย์ พ่อครัว อาลักษณ์และช่างไม้เป็นคณะ ๆ  เรือบรรทุกอาหารเพียงพอสำหรับการเดินเรือทุกครั้ง  น้ำถูกเติมเต็มทุก ๆ สิบวัน เรือบรรทุกทองและเงิน ผ้าไหม เครื่องลายครามและน้ำหอม
ในขณะที่เดินทาง เจิ้งเหอได้เผยแพร่สิ่งของเหล่านี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าจากประเทศที่เขาไปเยือน เขานำเครื่องเทศ อัญมณี สมุนไพรและสัตว์ที่แปลกใหม่ เช่น ม้าลายนกกระจอกเทศและยีราฟกลับมาสู่ประเทศ ในการเดินทางครั้งหนึ่ง เขากลับมาพร้อมกับตัวแทนรัฐบาลจากประเทศ 30 ประเทศที่แตกต่างกัน การค้าขายยังต่างประเทศและชื่อเสียงของจีนเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เพราะการเดินทางของเจิ้งเหอ การเดินทางยังให้ข้อมูลไปยังราชสำนักเกี่ยวกับต่างประเทศ

การเปลี่ยนแปลงนโยบาย ประมาณคริสต์ทศวรรษที่ 1430 หย่งเล่อและเจิ้งเหอเสียชีวิต ผู้นำของจีนได้ถกเถียงกันว่าจะดำเนินการการส่งกองทัพเรือขนาดใหญ่ออกเดินทางไกลต่อไปหรือไม่ ผู้นับถือลัทธิขงจื้อบางพวกไม่เห็นด้วยกับการเดินทางเพราะพวกเขากลัวว่าการค้าขายมากขึ้นจะทำให้จีนเป็นประเทศเชิงพาณิชย์มากเกินไป พวกเขาต้องการให้จีนยังคงเป็นประเทศเกษตรกรรม ผู้นำคนอื่น ๆ ต้องการเงินมาใช้ในการป้องกันประเทศมากกว่าการสำรวจ พวกเขาคิดว่าจีนจำเป็นต้องมีการป้องกันที่ดีจากการโจมตีโดยพวกที่ร่อนเร่จากเอเชียกลาง
ผู้นำจีนจำนวนมากได้ถกเถียงกันว่าประเทศจีนเป็นประเทศมีสังคมที่มั่งคั่งและทันสมัยมาก​​ที่สุดในโลกอยู่แล้ว พวกเขาเชื่อว่าจีนไม่จำเป็นต้องรับส่วยจากดินแดนต่างประเทศ  นอกจากนี้ พวกเขาเชื่อว่าผู้คนที่อยู่ในสถานที่อื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรที่จะสอนจีน ประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 การปกครองของราชวงศ์หมิงได้ยุติการสำรวจทางทะเล
แม้ว่าการสำรวจจะยุติลง จีนไม่ได้ถูกแยกออกจากส่วนอื่น ๆ ของโลก พ่อค้าชาวจีนได้ขยายการค้ากับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้  เรือชาวอังกฤษ โปรตุเกสและดัตช์ ก็ได้เดินทางไปยังประเทศจีน ประมาณตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 จีนได้ค้าขายผ้าไหม ชาและเครื่องลายครามแลกกับความหลากหลายของสินค้าตะวันตกรวมทั้งเงิน

ราชวงศ์สุดท้าย

          ราชวงศ์หมิงเสื่อมอำนาจลงหลังจากผ่านไปเกือบ 300 ปี นักปกครองอ่อนแอ ภาษีสูงและข้าวยากหมากแพงนำไปสู่การก่อจลาจล ทางทิศเหนือของจีนเรียกว่าภูมิภาคแมนจูเรีย (Manchuria) ชาวแมนจูเรียได้รับการเรียกขานว่า แมนจู (Manchus) ในคริสต์ศัคกราช 1644  ชาวแมนจูใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของราชวงศ์หมิงและพิชิตจีน พวกเขาเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ชิง (Qing หรือ chihng)
เช่นเดียวกับผู้ปกครองราชวงศ์หมิง ราชวงศ์แมนจู ได้อนุญาตให้มีการค้าขายบางส่วน  โดยทั่วไป แม้ว่าพวกเขาจะจำกัดการติดต่อกับต่างประเทศ แต่ความพยายามของพวกเขาที่จะจำกัดอิทธิพลจากต่างประเทศในประเทศจีนก็ล้มเหลว ชาวต่างชาติส่วนใหญ่มาจากยุโรปมีความกระตือรือร้นที่จะทำการค้ากับประเทศจีน  ด้วยการสนับสนุนจากอำนาจทางทหาร ชาวต่างชาติเหล่านี้ก็บังคับให้จีนค้าขายกับพวกเขา ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18  อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย และญี่ปุ่น แต่ละประเทศก็ได้จัดตั้งพื้นที่อิทธิพลพิเศษขึ้นในประเทศจีน ในพื้นที่เหล่านี้พวกเขาได้ควบคุมเศรษฐกิจของจีน
การเจริญเติบโตของอิทธิพลจากต่างประเทศในประเทศจีนทำให้อำนาจของผู้ปกครองราชวงศ์ชิงอ่อนแอลง  นอกจากนี้ยังทำให้ชาวจีนจำนวนมากเคียดแค้นอีกด้วย ในคริสต์ศักราช 1911 การปฏิวัติก็เริ่มขึ้น ซึ่งในไม่ช้าก็ล้มล้างจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง การบริหารแบบใหม่เป็นสาธารณรัฐมีผู้นำที่ได้รับเลือกมาจากการเลือกตั้ง ตั้งแต่การปฏิวัติครั้งนั้น จีนไม่เคยกลับไปปกครองแบบราชวงศ์อีกเลย

มรดกของจีน

          สิ่งประดิษฐ์ของชาวจีนจำนวนมากยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเราในปัจจุบันนี้ เข็มทิศ รถสาลี่และร่มเป็นสิ่งประดิษฐ์เพียงไม่กี่ชิ้นในบรรดาสิ่งประดิษฐ์ของจีนจำนวนมากที่ผู้คนยังคงใช้อยู่ สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้บางอย่างเป็นผลมาจากการแก้ปัญหา สิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ อาจเป็นเพียงเหตุบังเอิญ
เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว (Seismoscope)
เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
อดีต  นักวิทยาศาสตร์จีนได้ประดิษฐ์เครื่องวัดการสั่นสะเทือนของแผ่นไหว ที่เรียกว่า Seismoscope ขึ้นในปี ค.ศ. 132  เป็นแจกกันสัมฤทธิมีมังการ 8 ตัวอยู่รอบแจกัน แต่ละตัวจะคาบลูกกลม ๆ ไว้ในปาก เมื่อแผ่นดินไหว ลูกกลม ๆ จะตกลงไปในปากกบ (ดูภาพด้านล่าง) ข้างใดตก อาจจะเป็นไปได้ว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทางทิศนั้น

เครื่องการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว


เครื่องวัีดแผ่นดินไหว
เครื่องวัดแผ่นดินไหวในปัจจุบัน
ปัจจุบัน  พวกเราใช้เครื่องวัดแผ่นดินไหวที่สามารถบันทึกแผ่นดินไหวได้ พร้อมทั้งวัดขนาดของแผ่นดินไหวได้ด้วย (เป็นริกเตอร์)

ธนบัตร
ธนบัตร
จีนเป็นประเทศแรกที่ใช้ธนบัตร
อดีต  จีนเป็นชาติแรกที่ใช้ธนบัตร ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 สมัยราชวงศ์ถัง เรียกว่า "Flying Cash" 

ปัจจุบัน  ธนบัตรมีใช้ทุกประเทศทั่วโลก

การสอบเข้ารับราชการ
การสอบเข้ารับราชการ
การสอบเข้ารับราชการ
อดีต  จีนเป็นประเทศแรกที่ใช้การทดสอบเข้ารับราชการในราชสำนัก
ปัจจุบัน  มีการทดสอบการเรียนการสอนไปทั่วโลก ทั้งในโรงเรียน และสอบเข้ารับราชการ

ดอกไม้เพลิง

พลุไฟ
พลุไฟ
อดีต  กว่า 1,000 ปีมาแล้วที่พ่อครัวชาวจีนได้ทำผงสีดำที่จุดไฟแล้วระเบิด เมื่อผลสีดำใส่ในบั้งไม้ไผ่แล้วจุดไฟ มันจะพุ่งขึ้นไประเบิดบนท้องฟ้า
ปัจจุบัน  เทคโนโลยีนี้นำมาใช้ผลิดดินปืนและเป็นอาวุธในปัจจุบัน  ดอกไม้ไฟก็ใช้จุดฉลองในโอกาสต่าง ๆ

1 ความคิดเห็น:

  1. Did you realize there is a 12 word sentence you can say to your partner... that will induce intense feelings of love and instinctual attraction to you buried inside his chest?

    That's because deep inside these 12 words is a "secret signal" that triggers a man's instinct to love, worship and guard you with all his heart...

    12 Words That Trigger A Man's Desire Instinct

    This instinct is so hardwired into a man's mind that it will make him work better than ever before to take care of you.

    Matter-of-fact, fueling this all-powerful instinct is so binding to achieving the best ever relationship with your man that once you send your man a "Secret Signal"...

    ...You'll instantly find him expose his soul and mind to you in a way he's never experienced before and he will perceive you as the one and only woman in the galaxy who has ever truly attracted him.

    ตอบลบ