วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยุโรปสมัยระบอบศักดินาและยุคกลางสมัยต่อมา

ยุโรปสมัยระบอบศักดินาและยุคกลางสมัยต่อมา

ยุโรปสมัยระบอบศักดินาและยุคกลางสมัยต่อมา
แผนที่ยุโรป ค.ศ. 1000
แผนที่ยุโรป ค.ศ. 1000
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในยุโรปและโลกสมัยโบราณ
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในยุโรปและโลกสมัยโบราณ
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในยุโรปและโลกสมัยโบราณ
แผนที่ลำดับเหตุการณ์ในยุโรปและโลกสมัยโบราณ
ระบอบศักดินาในยุโรปสมัยกลาง
ลักษณะของยุโรปสมัยกลาง
           การล่มสลายของกรุงโรมในคริสต์ศักราช 476 เริ่มขึ้นในช่วงประมาณ 1,000 ปี ซึ่งรู้จักกัน ยุคกลาง (Middle Ages) ระยะเวลานี้ก็ยังรู้จักกันว่า ยุคกลาง ภูมิทัศน์ทางการเมืองและวัฒนธรรมของยุโรปเปลี่ยนแปลงอย่างมากหลังจากการล่มสลายของกรุงโรม
ถ้วยของชนชาวเจอร์มานิค
ถ้วยใบนี้มีลายเพชรพลอย เป็นของชาวแฟรงก์ ซึ่งเป็นกลุ่มชนเจอร์มานิค
ชาวโรมันไม่ได้ปกครองภูมิภาคโดยการรวมกลุ่มต่าง ๆ มากมายภายใต้รัฐบาลเดียวอีกต่อไป แต่มีอาณาจักรดั้งเดิมจำนวนมากปกครองดินแดนเหล่านั้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองโดยอาณาจักรอันยิ่งใหญ่
   ชาวโรมันมีการปกครองที่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจัง พวกเขายังเน้นการเล่าเรียน อีกประการหนึ่ง ผู้คนสมัยดั้งเดิมอาศัยอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ พวกเขามีความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยการปกครองและประเพณีที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นผลให้พวกเขาไม่ได้พัฒนาการปกครองที่มีขนาดใหญ่หรือผลิตผลงานด้านวิชาการ
ชนชั้นกลางมีการศึกษาทั้งหมด แต่หายไปในระหว่างยุคกลาง โรงเรียนส่วนใหญ่หยุดการเรียนการสอนและมีคนไม่กี่คนที่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาละตินได้ ชาวยุโรปส่วนมากลืมความสำเร็จในศิลปะและการเรียนรู้ของชาวกรีกและชาวโรมัน
    ในขณะที่การค้าขายทั่วยุโรปหดตัวลง หลาย ๆ เมืองก็เป็นเช่นนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองส่วนใหญ่เลี้ยงชีวิตตนเองโดยการค้าขายสินค้า การขาดการค้าขายทำให้ชาวเมืองจำนวนมากย้ายไปยังชนบทและเลี้ยงชีวิตของตนเองโดยการทำเกษตรกรรม
ปารีสในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 14
กรุงปารีสในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 14  ภาพวาดนี้มาจากหนังสือกำหนดเทศกาล (Book of Hours)
หนังสือสวดมนต์ในยุคกลาง ในภาพนี้ ชาวนากำลังตัดหญ้าและกองไว้นอกกรุงปารีส

การเจริญและแพร่กระจายของศาสนาคริสต์

          สถาบันแห่งหนึ่งที่รอดมาได้จากการล่มสลายของกรุงโรมคือคริสตจักร ผู้ปกครองดั้งเดิมเป็นจำนวนมากและราษฎรอื่น ๆ เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์กลุ่มคนเจอร์มานิก (Germanic)  คือ ชาวแฟรงก์ ได้ก่อตั้งอาณาจักรอันเกรียงไกรขึ้น พวกเขาสนับสนุนศาสนาคริสต์ให้มีความเข้มแข็งอย่างยิ่งใหญ่ในยุโรป

โคลวิสที่ 1 และชนชาวแฟรงก์  ในคริสต์ศักราช 486 ผู้นำชาวแฟรงก์ ชื่อโคลวิสได้บุกดินแดนกอลแห่งโรมัน (ปัจจุบัน คือ ฝรั่งเศส อาจรวมถึงเบลเยี่ยมด้วย) เขาพิชิตกองทัพโรมันอันยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายในดินแดนกอลนี้ แล้วโคลวิสก็ยกทัพไปตีกลุ่มชาวเจอร์มานิกอื่น ๆ ประมาณคริสต์ศักราช 507 อาณาจักรของเขาก็แผ่ขยายดินแดนยาวเหยียดไปทางตะวันตกตั้งแต่แม่น้ำไรน์จนถึงเทือกเขาพิเรนีส(Pyrenees) ไม่ช้าก็เร็ว โคลวิสก็หันไปนับถือศาสนาคริสต์  ต่อมาราษฎรส่วนใหญ่ก็หันไปนับถือศาสนาคริสต์เช่นกัน

การปกครองของชาเลอมาญ (Charlemagne)  ในคริสต์ศักราช 768 ผู้ปกครองคนใหม่ผู้มีความทะเยอทะยาน ซึ่งปกครองอาณาจักรของชาวแฟรงก์  คือ ชาร์ลส์ (Charles) รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ชาร์เลอมาญ (SHAHR•luh•MAYN) ได้สร้างอาณาจักรยุโรปที่ใหญ่กว่าอาณาจักรใด ๆ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่กรุงโรมโบราณ เขาทำเช่นนี้ได้ส่วนใหญ่เพราะชัยชนะของทหารเป็นระยะ ๆ ยาวนานเป็นเวลาหลายปี ประมาณคริสต์ศักราช 800 ยุโรปตะวันตกเป็นอันมากก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิที่บริหารได้เป็นอย่างดีของเขา
ชาร์เลอมาญได้จัดตั้งกฎหมายใหม่เพื่อช่วยรักษาความเป็นระเบียบ เขายังอนุญาตเชลยศึกบางพวกให้รักษากฎหมายแบบดั้งเดิมไว้ตราบจนกระทั่งพวกเขารวบรวมเป็นประมวลกฎหมายและเขียนเป็นลักษณ์อักษร ชาร์เลอมาญได้ปฏิรูปคริสตจักรให้เข้มแข็ง เขาการส่งเสริมการศึกษาของพระในคริสตจักร จัดระเบียบคริสตจักรให้มีอำนาจและสร้างสัมพันธไมตรีกับพระสันตะปาปา
โคลวิสที่ 1
ราชอาณาจักรที่มีอำนาจมากแห่งหนึ่งในยุโรป คือ ราชอาณาจักรแฟรงก์
ผู้น้ำราชอาณาจักรคือ กษัตริย์โคลวิสที่ 1 (ภาพบน)

ระบบศักดินา: การจัดระเบียบทางสังคมแบบใหม่

          หลังจากการตายของชาร์เลอมาญ ในคริสต์ศักราช 814 หลุยส์ลูกชายของเขากลายเป็นจักรพรรดิ  เมื่อหลุยส์เสียชีวิต ลูกชายทั้งสามคนของเขาต่อสู้กันเองเพื่อปกครองอาณาจักร พวกเขาทั้งหมดลงนามในสนธิสัญญา ในคริสต์ศักราช 843 เพื่อแบ่งจักรวรรดิออกเป็นสามส่วน การแบ่งแยกจักรวรรดินี้ทำให้อาณาจักรแฟรงก์อ่อนแอลง  ความเสื่อมลงของการปกครองอาณาจักรแฟรงก์นำไปสู่​​ความวุ่นวายไปทั่วยุโรป
ผู้บุกรุกใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้ โจรสลัดสแกนดิเนเวีย ที่เรียกว่าไวกิ้ง (Vikings) ได้คุกคามหมู่บ้านชายฝั่ง กลุ่มที่เรียกว่า แมกยาร์ (Magyar - ชาวฮังการีในปัจจุบัน) ได้โจมตีเมืองต่าง ๆ ทั่วยุโรปตอนกลาง เริ่มต้นในกลางศตวรรษที่ ยุโรปกลายเป็นสถานที่ของความขัดแย้งและสงครามอย่างต่อเนื่อง
--------------------------------
ผู้สร้างประวัติศาสตร์
ชาร์เลอมาญ (มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 742 – 814)
ชาร์เลอมาญ
ชาร์เลอมาญ
          ชาร์เลอมาญดูเหมือนและทำหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพของอาณาจักรขนาดใหญ่ เขาเป็นคนที่สูงและแข็งแรงและมีความสุขกับกิจกรรมการออกกำลังกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการว่ายน้ำ นอกจากนี้ เขาเจริญเติบโตด้วยการนอนหลับเล็กน้อย เขาบอกว่าจะตื่นขึ้นมาสี่หรือห้าครั้งต่อคืน ด้วยการปลุกคนรอบข้างตัวเองให้ตื่นทำภารกิจให้เสร็จสิ้นหรือให้รายงานงาน
  ชาร์เลอมาญยังแสดงความสนใจในเรื่องราวทางวิชาการ รวมทั้งดาราศาสตร์ อย่างไรก็ตาม มีอยู่สิ่งหนึ่งที่อาจจะทำให้เขาไม่ได้รับการเรียนรู้เพิ่มเติม นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่า กษัตริย์แฟรงก์ผู้เกรียงไกรนั้น ก็เหมือนกับกษัตริย์คนอื่น ๆ ในยุคกลาง คือ อ่านหนังสือไม่ออก
--------------------------------
การเกิดขึ้นของระบบศักดินา ในช่วงเวลาที่มีความรุนแรงนี้ ผู้คนมองหาการคุ้มครองรักษา ข้อนี้นำไปสู่การสร้างระบบการเมืองและสังคมที่รู้จักกัน คือ ระบบศักดินา ระบบศักดินาขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างกลุ่มขุนนางสองกลุ่ม คือ ขุนนางและข้าราชบริพาร  ลอร์ด (Lord) คือ ขุนนางผู้ทรงอำนาจซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ขุนนางอนุญาตให้ขุนนางชั้นผู้น้อย ซึ่งเรียกข้าราชบริพาร ใช้ที่ดินหลายส่วน ที่ดินหลายแปลงเหล่านี้ถูกเรียกว่า ศักดินา เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนศักดินา ข้าราชบริพารจะทำหน้าที่ในศาลของและกองทัพบกของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ป้องกันดินแดนไม่ให้มีการโจมตีด้วยกองทัพของข้าราชบริพาร ข้าราชบริพารบางพวกเป็นนักรบ เรียกกันว่า อัศวิน
โครงสร้างของระบบศักดินา  สังคมระบบศักดินาเป็นโครงสร้างชั้นสูง กษัตริย์ปกครองด้านบนของสังคม ต่อมาก็เป็นเจ้าของที่ดินที่มั่งคั่งและสมาชิกระดับสูงของคริสตจักร ถัดลงผู้รับใช้พวกเขา คือ อัศวิน ด้านล่างของสังคม คือ ชาวนา ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นข้าแผ่นดิน ข้าแผ่นดินอาศัยและทำงานอยู่บนที่ดินที่เป็นของขุนนางหรือข้าราชบริพาร ข้าแผ่นดิน เหมือนกับข้าราชบริพาร จะดูแลป้องกันขุนนางระดับสูง (ดูภาพ)
ระบบศักดินาสร้างโครงสร้างทางการเมืองแบบใหม่ในทวีปยุโรป แมนเนอร์ (Manors) คือ คฤหาสน์ที่ครอบครองโดยขุนนางผู้มีอำนาจ เป็นส่วนที่สำคัญของภูมิทัศน์ทางการเมืองแบบใหม่นี้

ระบบศักดินาของยุโรป
ระบบศักดินาของยุโรป
ลำดับระบบศักดินาของยุโรป
1.  กษัตริย์: นั่งอยู่บนยอดสุดของสังคมศักดินา  ครอบครองพื้นดินขนาดใหญ่
2.  เจ้าหน้าที่แห่งคริสตจักรและขุนนาง: เป็นเจ้าของที่ดิน ยึดครองอำนาจและความมั่งคั่งเป็นอันมาก
3.  อัศวิน: เป็นนักรบจัดการด้านการทหารให้กับขุนนาง เพื่อแลกเปลี่ยนที่ดินหลายแปลง
4.  ชาวไร่ชาวนาชาวสวน เกษตรกร: ทำงานให้กับขุนนาง ในฐานะเป็นข้าแผ่นดิน และงานอื่น ๆ ที่เหน็ดเหนื่อยมาก (ดูภาพด้านบน)

บทบาทของแมนเนอร์ (Manor)  ส่วนที่สำคัญของที่ดินของขุนนาง เรียกว่า แมนเนอร์ (คฤหาสน์) ศูนย์กลางของคฤหาสน์เป็นบ้านเจ้านายหรือขุนนางและครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ บ่อยครั้งที่อาคารคฤหาสน์เป็นป้อมหรือปราการ รอบ ๆ อาคารคฤหาสน์เป็นที่ดินของเจ้านายหรือขุนนาง ที่ดินส่วนมากประกอบด้วยพื้นที่การเกษตรและหมู่บ้านที่ชาวบ้านอาศัยอยู่

การดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจในแมนเนอร์  ชาวนา (ส่วนใหญ่เป็นข้าแผ่นดิน) อาศัยและทำงานอยู่ที่คฤหาสน์ พวกเขาทำไร่ไถนาบนที่ดิน ซึ่งเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจของระบบแมนเนอร์ ข้าแผ่นดินกล่าวได้ว่า "ผูกพันกับที่ดิน" ซึ่งหมายความว่าพวกเขาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สมบัติ พวกเขายังคงอยู่บนที่ดินถ้าเจ้านายหรือขุนนางคนใหม่ต้องการ
ชีวิตในระบบศักดินาและแมนเนอร์มีผลกระทบที่มีประสิทธิภาพต่อเศรษฐกิจยุโรปยุคกลาง ที่ดินบนคฤหาสน์ให้สิ่งที่จำเป็นส่วนใหญ่แก่ผู้อยู่อาศัย เป็นผลให้กิจกรรมส่วนใหญ่นับตั้งแต่การทำการเกษตรจนถึงงานไม้ การทำไวน์เกิดขึ้นในคฤหาสน์ Manors กลายเป็นโลกของพวกตัวเองและคนไม่กี่คนที่เคยละทิ้งทรัพย์สมบัติไป
ระบอบแมนเนอร์
        แมนเนอร์ (Manor) เป็นระบบการปกครองในฟิวดัล (ระบบศํกดินา) เจ้าหน้าที่ในเขตปกครอง คฤหาสน์” เรียก “Lord of the Manor”  ขุนนางมีสิทธิ์ครอบครองแมนเนอร์เป็นร้อย ๆ ได้  ในแมนเนอร์มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก แม้แต่แมนเนอร์ที่เล็กที่สุดมีเนื้อที่ประมาณ 300 – 400 เอเคอร์ และอาจประกอบด้วยหมู่บ้านเดียวหรือมากกว่านั้น แต่ละแมนเนอร์จะมีระบบเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ในตัวเอง (Self Sufficiency)  ภายในแต่ละแมนเนอร์จะมี Manor - House ของ Lord อยู่ตรงกลางล้อมรอบด้วยคูกั้นเป็นที่อยู่ของครอบครัวเจ้าของที่ดินและอัศวินทั้งหลาย ตลอดจนผู้จัดการดูแลแมนเนอร์(Bailiff)  และพระของหมู่บ้านแมนเนอร์  ถัดจากคูที่ล้อมรอบ Manor-House เป็นที่อยู่อาศัยของชาวไร่ชาวนา  เลยที่อยู่ของชาวไร่ชาวนาออกไปเป็นไร่นา ส่วนที่ดีที่สุดกันไว้เป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าของที่ดินและพระ ที่เหลือเจ้าของที่ดินจะจัดแบ่งให้พวกไพร่ติดที่ดิน แต่ละครอบครัวทำกินจะขยายหรือโยกย้ายไม่ได้ ถ้าเจ้าของที่ดิน (Lord) ไม่สั่ง                        
          ชนชั้นในแมนเนอร์สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.ชนชั้นขุนนางหรือเจ้าของแมนเนอร์   ซึ่งอาจรวมพระ  หรือกษัตริย์   สำหรับแมนเนอร์ใหญ่ๆ จะแต่งตั้งผู้ดูแลกิจการไปทำการดูแล ถ้ามีแมนเนอร์ในครอบครองหลายแห่งก็จะแต่งตั้งผู้แทนของตนไปดูแล ในแมนเนอร์จะมีที่ดินส่วนหนึ่งเรียกว่า ดีมีนส์ (Demesne) เป็นไร่ที่ดินภายใน ซึ่งขุนนางเจ้าของที่ดินของแมนเนอร์เป็นผู้ครอบครอง                       
2.ชนชั้นไพร่  เป็นชนชั้นที่ทำงานให้แก่ชนชั้นขุนนาง ประกอบด้วย                             
        ก.ชนชั้นวิเลนส์ (Villein) เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์ และเป็นชนชั้นที่มีความสำคัญต่อแมนเนอร์มากกว่าชนชั้นอื่น เพราะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการเพาะปลูก ส่วนใหญ่ของแมนเนอร์ ซึ่งผลผลิตที่ได้ใช้เป็นอาหารสำหรับชนชั้นต่างๆ ในแมนเนอร์ ในทางกฎหมายชนชั้นวิเลนส์มีฐานะด้อยกว่าเสรีชนแต่สูงกว่าทาส ไม่ได้รับการคุ้มครองจากขุนนางนอกจากกรณีทำร้ายร่างกาย  
        ข.   ชนชั้นคอททาร์   หรือบางทีเรียก  บอร์ดาร์ (Bordars)   หรือคอทเทเจอร์ส (Cottagers) ชนชั้นนี้มีจำนวนคนรองจากชนชั้นวิเลนส์และมีฐานะด้อยกว่าทั้งในทางสังคมและทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีที่ดินในครอบครองน้อยกว่า จึงต้องพึ่งพาชนชั้นอื่นในการดำรงชีพ โดยเฉพาะการรับใช้ตอบแทนขุนนาง และทำหน้าที่เป็นแรงงานสำรองไว้ในเวลาจำเป็น ดังนั้นจึงมักใช้เวลาว่างไปรับจ้างขุนนางเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและดำรงชีพของตน 
        ค.  ชนชั้นทาส (Serf) เป็นพลเมืองส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ในแมนเนอร์ มีพันธะที่จะต้องจ่ายให้เจ้านายของตนในรูปแรงงานและผลผลิต หรือเงินตรา เช่น Serf ต้องเสียภาษีรัชชูปการ ภาษีผลผลิตที่ผลิตได้ ต้องจ่ายค่าบริการให้กับเครื่องมือของ Lord จัดหาไว้ให้ใช้ร่วมกันในการทำการเกษตร  เช่น โรงสี เครื่องคั้นน้ำองุ่น  เตาต้มกลั่น  ให้การต้อนรับเลี้ยงดูเจ้านายและบริวารที่ติดตามเข้ามาตรวจราชการในท้องที่ของตนปีละไม่เกินสามครั้ง  ยอมให้เจ้านายเกณฑ์แรงงานไปสร้างเครื่องสาธารณูปโภค  ขุดคู  สร้างสะพานและเขื่อน  เป็นต้น  ต่อมาจำนวนทาสได้    ลดน้อยลงไปเนื่องจากได้รับอิสรภาพมากขึ้น ได้รับที่ดินทำการเพาะปลูกและเปลี่ยนสภาพมาเป็นชนชั้นคอททาร์ในเวลาต่อมา                       
3.ชนชั้นเสรีชน เป็นชนชั้นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับขุนนาง เป็นเจ้าของที่ดินโดยเสรี  ไม่ต้องมีภาระข้อผูกมัดกับชนชั้นอื่นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเสรีชนกับชนชั้นขุนนาง หรือเจ้าของแมนเนอร์ มักอยู่ในรูปของสัญญา เช่น เสรีชนจะสละแรงงานช่วยเหลือขุนนางในการเพาะปลูกเป็นครั้งคราว  แล้วขุนนางจะให้การคุ้มครองป้องกันความปลอดภัยในชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินของ เสรีชนเป็นการตอบแทน เสรีชนมีสิทธิที่จะโอนที่ดินของตนไปรับการคุ้มครองจากขุนนางแมนเนอร์คนหนึ่งคนใดโดยไม่ต้องผูกมัดกับขุนนางเดิม

ยุคอัศวิน (The Age of Chivalry)

             อัศวินมักจะเป็นข้าราชบริพารหรือขุนนางชั้นผู้น้อย (ชนชั้นที่ต่ำกว่าขุนนาง) ผู้ต่อสู้ในนามของขุนนางเพื่อแลกเปลี่ยนกับที่ดิน  ในช่วงยุคกลาง ความขัดแย้งมักจะโพล่งออกมาระหว่างขุนนางต่าง ๆ  หลายต่อหลายครั้ง พวกเขาชำระกรรมสิทธิ์ข้อขัดแย้งเหนือที่ดิน ด้วยการโจมตีซึ่งกันและกัน  เมื่อต่อสู้กัน เหล่าขุนนางก็อาศัยอัศวินที่มีฝีมือในการขี่ม้าและเป็นนักสู้

ความเป็นอัศวินและตำแหน่งอัศวิน  เหล่าอัศวินไม่ได้เป็นเพียงนักสู้มืออาชีพเท่านั้น  พวกเขามุ่งมั่นที่จะดำเนินชีวิตด้วยหลักเกียรติยศ ที่รู้จักกันว่า Chivalry (ความกล้าหาญหรือตำแหน่งอัศวิน) พวกเขาจะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อทางศาสนาที่แข็งแกร่งและความเต็มใจที่จะปกป้องคริสตจักรคาทอลิก  พวกเขายังมุ่งมั่นที่จะปกป้องผู้หญิงและคนอ่อนแอ นอกจากนี้ อัศวินได้รับการคาดหมายว่าจะต่อสู้กับความอยุติธรรมและแสดงความกล้าหาญในการต่อสู้ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาต่อสู้ การต่อสู้ที่อัศวินและนักรบคนอื่น ๆ ต่อสู้ เริ่มตั้งแต่การต่อสู้หลั่งเลือด ณ ทุ่งโล่งจนถึงการโจมตีอย่างเหน็ดเหนื่อยเหนื่อยบนปราสาท
ในการเข้ายึดปราสาท ขุนนางและอัศวินจะใช้อาวุธ เช่น การกระทุ้งและยิงด้วยก้อนหิน กองกำลังสำหรับโจมตีมักจะล้อมปราสาท  ในขณะล้อมปราสาท กองทัพพยายามป้องกันไม่ให้อาหารหรือวัสดุสิ้นเปลืองเข้าไปในปราสาท เป้าหมายคือการทำให้ผู้คนที่อยู่ภายในให้อดอาหารไปอย่างช้า ๆ และบังคับผู้คนให้ยอมจำนน

เปรียบเทียบอัศวินยุโรปกับซามูไรญี่ปุ่น
 
อัศวิน
อัศวิน
 
ซามูไร
ซามูไร
 อัศวินมักจะสวมชุดเกราะเพื่อป้องกันตัวเองในการสู้รบ ชุดเกราะเมื่อชั่งน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ  65 ปอนด์ (ประมาณ 30 กิโลกรัม) ซามูไรยังแต่งตัวเพื่อป้องกันตัวในระหว่างการต่อสู้ แต่ชุดเกราะน้ำหนักเบากว่า ชุดเกราะที่เบานี้แสดงให้เห็นว่า ซามูไรผู้ใช้ชุดเกราะนี้ทำให้การเคลื่อนไหวสะดวกมากกว่าเน้นการป้องกัน

1.  ชุดเกราะของนักรบแต่ละคนป้องกันศีรษะและคอ หมวกกันน็อคของอัศวินปกป้องหน้าของเขา แต่มีความจำกัดในด้านการมองเห็น  ใบหน้าของซามูไรไม่ปกปิด แต่มีแผ่นเหล็กป้องกันคอของเขา

2.  ทั้งอัศวินและซามูไรมีแผ่นหน้าอกเพื่อป้องกันอวัยวะที่สำคัญจากลูกธนู ดาบและหอก

3.  นักรบแต่ละคนมีชุดเกราะสวมขา  ของอัศวินยุโรปหนักมากและครอบคลุมขามากกว่า ของซามูไรครอบคลุมขาด้านล่างเท่านั้น

(ดูรูปภาพประกอบ)
 

สมาคมแห่งอัศวิน  อัศวินบางคนให้ความจงรักภักดีต่อคริสตจักรเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น พวกเขากลายเป็นข้าราชบริพารสมเด็จพระสันตะปาปาและก่อตัวขึ้นเป็นองค์กรทหารของศาสนาที่รู้จักกันว่า orders of chivalry (คณะแห่งอัศวินหรือสมาคมแห่งอัศวิน) คณะที่รู้จักกันดีที่สุดก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศักราช 1119 เรียกว่า Poor Knights of Christ และ Temple of Solomon หรือ Knights Templar
เหล่านักรบให้คำสาบานว่าจะเสียสละและเชื่อฟังคริสตจักร พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน หลับอยู่ในห้องนอนธรรมดาและรับประทานอาหารร่วมกัน อย่างไรก็ตาม หน้าที่หลักของพวกเขาคือการต่อสู้กับศัตรูของคริสตจักร นักรบและคณะแห่งอัศวินอื่น ๆ ก่อตัวขึ้นเพื่อการต่อสู้กับกองทัพของชาวมุสลิมในและรอบ ๆ กรุงเยรูซาเล็ม บริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land) สงครามที่เกิดขึ้นหลาย ๆ  ครั้งเรียกว่า สงครามครูเสด (Crusades)

การเจริญเติบโตของเมืองต่าง ๆ

          ประมาณคริสต์ศักราช 1000  ชีวิตแบบเมืองเริ่มกลับไปยังยุโรป ขุนนางผู้เรืองอำนาจได้นำความปลอดภัยและสวัสดิภาพไปยังภูมิภาคต่าง ๆ นานา เหล่าพ่อค้าเริ่มออกเดินทางอย่างอิสระมากขึ้นและเริ่มค้าขายสินค้าของพวกเขา   เหล่าพ่อค้าตั้งรกราก ณ ที่ใดก็ตาม ช่างก่อสร้างและพ่อค้าอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันอยู่รอบตัวพวกเขา
เมืองส่วนใหญ่ในยุคกลางเป็นสถานที่สกปรก คับแคบและพลุกพล่าน ในใจกลางเมืองมีตลาดนัดและโบสถ์ขนาดใหญ่ ถนนแคบสกปรกและมักจะไม่ได้ปูพื้นถนน หลังจากที่ฝนตก ถนนกลายเป็นโคลนลึกถึงหัวเข่า บ้านส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาจากไม้และไฟไหม้ง่าย เป็นผลให้ทั้งเมืองมักจะถูกไฟไหม้บ่อย ๆ  ระหว่างคริสต์ศักราช 1200 และ 1225  เมืองรูอ็องของฝรั่งเศสถูกไฟเผาถึงหกครั้ง!
ในเมืองหลายเมือง ผู้คนที่มีอาชีพเดียวกันก่อรูปเป็นกลุ่มขึ้นเรียกว่า สมาคมอาชีพ (Guilds) สมาคมหลายแห่งสร้างขึ้นโดยเหล่าพ่อค้า เช่น ช่างทอง ช่างทำขนมปัง ช่างทอผ้าและช่างย้อมผ้า สมาคมอาชีพสร้างกฎระเบียบเพื่อควบคุมปริมาณและคุณภาพของการผลิต สมาคมอาชีพดูแลสมาชิกและทำงานเพื่อทำให้ทุกคนแน่ใจว่าจะหาอาชีพได้ สมาคมอาชีพมีความสำคัญพอ ๆ กัน มีอิทธิพลเล็กน้อย รองมาจากคริสตจักรคาทอลิก

การดำเนินชีวิตในคฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบ

ของขุนนางในยุคกลาง


การใช้ชีวิตในไมนอร์
        
          ในช่วงยุคกลางส่วนมาก คฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบของขุนนางทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดำเนินชีวิตสำหรับคนจำนวนมากในยุโรป  ชนชั้นที่กำหนดไว้ชัดเจนสองจำพวกอาศัยอยู่เคียงข้างกัน ในคฤหาสน์ที่มีที่ดินล้อมรอบของขุนนาง คือขุนนางหรือข้าราชบริพารที่ร่ำรวย และครอบครัว ตลอดจนชาวไร่ชาวนาที่ยากจนหรือข้าแผ่นดิน
กรรมกรผู้ทรหด งานหลักของข้าแผ่นดินก็คือการทำเกษตรกรรม ฝนตกหรือแดดออก พวกเขาก็ทำงานในทุ่งนาทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์และวันสำคัญทางศาสนา ข้าแผ่นดินต้องทำไร่ไถนาให้กับขุนนางมากที่สุด
คฤหาสน์มาเนอร์  ขุนนางแห่งคฤหาสน์มาเนอร์อาศัยอยู่กับครอบครัวของเขาในบ้านขนาดใหญ่ที่มักจะสร้างด้วยหิน ชีวิตของพวกเขามีความสะดวกสบายเมื่อเทียบกับข้าแผ่นดิน ในท่ามกลางกิจกรรมอื่น ๆ พวกเขาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำที่มีขนาดใหญ่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์จำนวนมาก
C  บ้านเรือนของข้าแผ่นดิน  ข้าแผ่นดินส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกระท่อมขนาดเล็กที่เปียกชื้นทำจากไม้และโคลน พื้นดินเป็นพื้นบ้านเสมอ ๆ กระท่อมแต่ละหลังมักจะมีเตียงเพียงตัวเดียว ซึ่งสร้างขึ้นมาจากกองใบไม้หรือฟางข้าว ครอบครัวจะปรุงอาหารในกระท่อมด้วยการก่อไฟบนพื้นดิน ชาวนาส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยอาหารที่เรียบง่าย คือ สตูผักและขนมปัง
D  การพักผ่อนหย่อนใจ  ขุนนางและครอบครัวชอบใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจส่วนมากด้วยการล่าสัตว์ในป่าบนที่ดินของพวกเขา ในขณะเดียวกัน ข้าแผ่นดินจะพักผ่อนหย่อนใจแบบเรียบง่ายเสียเป็นส่วนมาก เกมการเล่นที่นิยมในหมู่ข้าแผ่นดินผู้ที่อายุน้อย คือ หมากเก็บ เล่นกันมากเหมือนกับลูกหิน เว้นเสียแต่ว่า ก้อนที่ใช้เล่นเป็นกระดูกของสัตว์เลี้ยงในฟาร์มก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ หลากหลาย

คริสตจักรและสงครามครูเสด
          ในยุคกลาง ชาวยุโรปเกือบทั้งหมดเป็นชาวคริสต์และสมาชิกของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ต่อไปนี้ เราจะได้เรียนรู้วิธีการที่ชาวคริสต์และชาวมุสลิมเกิดความขัดแย้งกัน
สมเด็จพระสันตปาปาเออร์บันที่ 2
ภาพนี้มาจากภาพต้นฉบับ สมเด็จพระสันตปาปาเออร์บันที่ 2 ทรงบัญชาการชิงชัย
ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ใน ค.ศ. 1095
อิทธิพลของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
          นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 จนถึงที่ 14 บางแง่มุมของระบบศักดินายังคงพบในยุโรป  ตัวอย่างเช่น ขุนนางยังคงปกครองชนบทเป็นส่วนมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและระบอบกษัตริย์ของยุโรปยังคงเรืองอำนาจ คริสตจักรและระบอบกษัตริย์ยังพยายามที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและกุมอำนาจทางศาสนาอีกด้วย

องค์กรคริสตจักร  นิกายโรมันคาทอลิกต้องการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งในการให้บริการคฤหัสถ์อย่างมีประสิทธิภาพ คฤหัสถ์(laypeople) คือ ผู้ที่เป็นสมาชิกของคริสตจักร แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะสงฆ์ คริสตจักรมีระดับของตำแหน่งผู้นำแตกต่างกันในหมู่พระสงฆ์หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจทางพระจากคริสตจักร สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและทางการเมืองของคริสตจักร ตำแหน่งของพระองค์ เรียกว่าตำแหน่งพระสันตะปาปา (Papacy) เบื้องล่างของพระองค์ มีพระสงฆ์ระดับต่าง ๆ ที่แสดงในภาพประกอบ (ดูภาพประกอบ)
มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส
มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส  สร้างในยุคกลาง เป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมของกอทิกอันโดดเ่ด่น
โครงสร้างที่ยันภายนอก เรียกว่า "ครีบยันลอย" (Flying Buttresses)
บทบาททางการเมืองของพระสงฆ์ (คริสต์)  คนที่มีตำแหน่งสำคัญในคริสตจักรจะมีความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองที่แข็งแกร่งต่อขุนนางของยุโรป เป็นผลให้ขุนนางและผู้นำคริสตจักรมีมากเหมือนกันและมักจะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกัน

คริสตจักรยังมีความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เป็นสถาบันที่มีอำนาจมากยิ่งขึ้น ความมั่งคั่งของตำแหน่งพระสันตะปาปายิ่งใหญ่มากกว่าพระมหากษัตริย์แต่ละองค์ในยุโรป  นอกจากนี้อำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปามักจะยิ่งใหญ่มากกว่ากษัตริย์และจักรพรรดิ อำนาจของสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นเหตุให้พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ร่วมมือกับคริสตจักร แต่มันก็ทำให้เกิดความขัดแย้งอีกด้วย

ตำแหน่งพระในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาลธอลิก

ลำดับตำแหน่งการปกครองคริสตจักรคาทอลิก
ลำดับตำแหน่งการปกครองคริสตจักรคาทอลิก
1. สมเด็จพระสันตะปาปา (Pope) สมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและทางการเมืองของคริสตจักร
2. พระคาร์ดินัล (พระราชาคณะ - Cardinals) พระคาร์ดินัลช่วยสมเด็จพระสันตะปาปาบริหารงานคริสตจักร
3.  บิชอป (Bishops – หัวหน้าบาทหลวง) บิชอปบริหารงานพื้นที่แขวงการปกครองของบิชอป มีโบสถ์หลายโบสถ์
4.  พระ, นักบวช (Priest – บาทหลวง) ทำหน้าที่บริหารโบสถ์เป็นเอกเทศและบริการฆราวาสโดยตรง
5.  พระ, นักพรต และ แม่ชี (Monks and Nuns) พระสงฆ์และแม่ชีอาศัยอยู่ในชุมชนที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ พวกเขาเรียนอ่านภาษาละติน ผลิตอาหารด้วยตัวเอง คัดลอกและแปลตำราทางศาสนา

คริสตจักร การเมือง และสังคม

ในที่สุด ผู้นำคริสตจักรและพระมหากษัตริย์ยุโรปก็เกิดความขัดแย้งกัน ในคริสต์ศักราช 1075 ข้อพิพาทระหว่างสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 7 และพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 แห่งจักรพรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ถึงจุดวิกฤติ

การปะทะกันของสองมหาอำนาจ  จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมยุโรปตอนกลางและอิตาลีตอนเหนือมากที่สุด อาณาจักรเริ่มขึ้นในคริสต์ศักราช 962 ในขณะที่กษัตริย์อ็อตโตที่ 1 แห่งเยอรมันปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมเด็จพระสันตะปาปา จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ต่อเนื่องในรูปแบบที่แตกต่างกันจนถึงคริสต์ศักราช 1806
จักรพรรดิองค์ต่อมา คือ พระเจ้าเฮนรีที่ 4 ได้สร้างอำนาจทางการเมืองขึ้น โดยการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คริสตจักร อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศักราช 1075 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีท้าทายอำนาจของพระเจ้าเฮนรี่ พระองค์ประกาศว่าพระสงฆ์เท่านั้นที่จะสามารถแต่งตั้งคนไปยังสำนักคริสตจักรได้
พระเจ้าเฮนรี่และบาทหลวงที่สนับสนุนพระองค์ได้ประกาศการเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้องของสมเด็จพระสันตะปาปา สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรี่ตอบสนองต่อความท้าทายของพระเจ้าเฮนรี่โดยการคว่ำบาตร หรือขจัดพระเจ้าเฮนรี่ออกจากคริสตจักร พระองค์บอกราษฎรของพระเจ้าเฮนรี่ว่า พวกเขาไม่ต้องเชื่อฟังจักรพรรดิอีกต่อไป
ครั้นแล้ว ขุนนางและเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรหลายคนหันหลังให้กับพระเจ้าเฮนรี่ พระเจ้าเฮนรี่ตัดสินพระทัยขอให้สมเด็จพระสันตะปาปายกโทษให้พระองค์อย่างชาญฉลาด ในฐานะที่เป็นพระสงฆ์ สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรี่ต้องยกโทษให้พระเจ้าเฮนรี่ พระเจ้าเฮนรี่ฟื้นฟูชื่อเสียงของพระองค์และปกครองราษฎร แต่ความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์ยุโรปกับพระสันตะปาปายังดำเนินต่อไป

คริสตจักรเป็นผู้นำด้านการศึกษา  คริสตจักรมีบทบาทโดดเด่นในด้านการจัดการศึกษา โรงเรียนถูกจัดตั้งขึ้นที่มหาวิหาร  นักศึกษาของโรงเรียนเหล่านี้ มักจะเป็นขุนนางที่เป็นผู้นำทางศาสนาหรือการเมืองเสมอ ๆ โรงเรียนในมหาวิหารเหล่านี้ต่อมาพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยยุคแรก ๆ
นักวิชาการได้ศึกษานักปรัชญายุคคลาสสิก แต่เจ้าหน้าที่คริสตจักบางพวกกังวลว่าแนวคิดยุคคลาสสิกจำนวนมากจะไปขัดแย้งกับคำสอนของคริสตจักรเกี่ยวกับความเชื่อ ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 นักปราชญ์ชาวอิตาลีชื่อโทมัส อไควนัส (Thomas Aquinas - uh•KWY•nuhs) ได้โต้แย้งว่าปรัชญายุคคลาสสิกสามารถอยู่ด้วยกันได้กับความเชื่อทางศาสนาคริสต์ เขาบอกว่าความเชื่อและเหตุผลมาจากพระเจ้า อไควนัสได้รับการจดจำไว้ว่าเป็นนักปราชญ์ทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่
คณะสงฆ์ทางศาสนาเป็นสถาบันทางการศึกษาที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร คณะสงฆ์ทางศาสนาเป็นกลุ่มของคนที่อาศัยอยู่ตามกฎที่เฉพาะเจาะจงเพื่อระเบียบวินัยของพวกเขา คณะสงฆ์คือกลุ่มคนทางศาสนาที่แยกตัวออกมาจากสังคมเพื่อมุ่งเน้นการสวดมนต์และรับใช้พระเจ้า ผู้ชายที่เข้าร่วมคณะสงฆ์ เรียกว่าพระสงฆ์ พวกเขาอาศัยอยู่ในอาราม ผู้หญิงที่เข้าร่วมคณะสงฆ์ เรียกว่าแม่ชีและพวกเธออาศัยอยู่ในคอนแวนต์ (Convents – อารามของนางชี)

สงครามครูเสดเริ่มต้นขึ้น

          สงครามครูเสดเป็นการเดินทางของทหารจากยุโรปไปยังปาเลสไตน์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land)เยรูซาเล็มตั้งอยู่ในปาเลสไตน์ พื้นที่นี้เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวคริสต์ ชาวมุสลิมและชาวยิวเหมือนกัน สงครามครูเสดมีผลกระทบระยะยาวต่อสภาพการเมืองและสังคมในยุโรป

สาเหตุของการเกิดสงครามครูเสด  ชาวคริสต์ในยุโรปเริ่มต้นสงครามครูเสดด้วยเหตุผลหลายประการ ราชวงศ์เซลจุคเติร์ก (Seljuk Turks) เข้าปกครองปาเลสไตน์ในคริสต์ศักราช 1071 ซึ่งแตกต่างจากผู้ปกครองก่อนหน้านี้ของกรุงเยรูซาเล็ม ราชวงศ์เซลจุคเดินทางแสวงบุญไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกือบจะไม่สำเร็จ
นอกจากนี้เจ้าชายและพ่อค้าชาวยุโรปแต่ละพวกมองเห็นประโยชน์จากสงครามเหล่านี้ เจ้าชายใช้ความสำเร็จในการทำสงครามเพื่อเป็นวิธีที่จะได้มาซึ่งอำนาจ เหล่าพ่อค้าเต็มใจที่จะลงทุนสำหรับสงครามครูเสดเพราะพวกเขาอาจจะเข้าถึงเส้นทางการค้ามากมายที่เชื่อมต่อกับเอเชียไปทางทิศตะวันออก
ในที่สุด กองกำลังเซลจุคก็เข้าโจมตีจักรวรรดิไบเซนไทน์ ทำให้จักรพรรดิแห่งไบเซนไทน์ขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระสันตะปาปา ประมาณคริสต์ศักราช 1095  สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ออกมาโต้ตอบ และประมาณคริสต์ศักราช 1096 สงครามครูเสดครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้น

สงครามครูเสดครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2  ในคริสต์ศักราช 1096 กองทัพยุโรปเป็นอันมาก เริ่มออกเดินทางไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงแห่งจักรวรดิไบเซนไทน์  จากนั้นพวกเขาก็วางแผนโจมตีปาเลสไตน์  ทหารหลายหมื่นคนเสียชีวิตในระหว่างทาง กองทัพทหารขนาดใหญ่ยังคงเตรียมพร้อมที่จะโจมตีปาเลสไตน์  กองทัพชาวคริสต์ยึดเมืองไนซีอาและแอนติออกได้ และในคริสต์ศักราช 1099 พวกเขาก็ยึดกรุงเยรูซาเล็มได้ พวกเขาแบ่งดินแดนที่พิชิตได้ออกเป็นรัฐนักรบครูเสด (Crusader State) 4 รัฐ คือ เอเดสสา แอนติออ ตริโปลี และเยรูซาเล็ม
สงครามครูเสดครั้งที่สอง (คริสต์ศักราช 1147-1149) เริ่มขึ้นหลังจากที่ชาวเติร์กมุสลิมได้ยึดเอารัฐนักรบครูเสด คือ เอเดสสาในคริสต์ศักราช 1144   กองทัพยุโรปอ่อนแรงจากการเดินทางที่ยากลำบากไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นผลให้กองกำลังมุสลิมพิชิตนักรบครูเสดที่ดามัสกัส ชาวคริสต์รักษารัฐนักรบครูเสดอื่น ๆ เอาไว้ได้ พวกเขารอดชีวิตมาได้ในส่วนหนึ่งเป็นเพราะความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องในหมู่ผู้นำของชาวมุสลิม
นักรบครูเสด
ภาพนี้วาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12  นักรบครูเสดแล่นเรือผ่านช่องแคบบอสฟอรัส
ผ่านกรุงคอนสแตนติโนเปิล (กรุงอิสตันบูล ประเทศเตอรกีในปัจจุบัน)

ชาวมุสลิมชนะและพ่ายแพ้

           ความขัดแย้งของชาวมุสลิมสิ้นสุดลงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 ความเป็นเอกภาพนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการอุบัติขึ้นของซาลาห์อัลดินหรือศอลาฮุดดิน (Salah-al-din) ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองและการทหารของชาวมุสลิม

ซาลาดินหรือศอลาฮุดดิน (Saladin) กับสงครามครูเสดครั้งที่ 3  ซาลาห์อัลดินเป็นที่รู้จักของชาวยุโรปว่า ซาลาดิน (Saladin - SAL•uh•dihn) กว่าหนึ่งปีที่ซาลาดินเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะผู้นำของชาวมุสลิม ครั้งแรกในอียิปต์และต่อมาในซีเรีย  เขากลายเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นผู้นำอัจฉริยะ ขรึม หนักแน่น และดุดัน แต่ใจกว้างและมีน้ำใจอีกด้วย
ในคริสต์ศักราช 1187 ซาลาดินได้รวบรวมทัพใหญ่โจมตีรัฐนักรบครูเสด กองกำลังของซาลาดินได้รับชัยชนะเป็นอันมากและยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนมาได้ ใช้เวลาไม่นานัก ข่าวแห่งชัยชนะของซาลาดินก็แพร่ไปถึงยุโรป
หลังจากการล่มสลายของกรุงเยรูซาเล็ม สมเด็จพระสันตะปาปาต้องการจะให้เกิดสงครามครูเสดอีกครั้ง  ผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของยุโรปบางพวกได้ทำสงครามครูเสดครั้งที่สามต่อไป (คริสต์ศักราช 1189-1192) ในหมู่ผู้นำที่ทรงอิทธิพลเหล่านั้น พระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษ (King Richard the Lionhearted)  พระเจ้าริชาร์ดกลายเป็นผู้นำนักรบครูเสด เพราะความกล้าหาญ ทักษะและในการสู้รบของพระองค์ นักรบครูเสดประสบความสำเร็จในตอนแรก แต่พวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายหลักในการยึดกรุงเยรูซาเล็ม ในคริสต์ศักราช 1192 ซาลาดินและพระเจ้าริชาร์ดได้ตกลงกันเพื่อพักรบ เยรูซาเล็มจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวมุสลิม แต่ในทางกลับกัน ซาลาดินตกลงอนุญาตให้ชาวคริสต์ผู้แสวงบุญเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองได้
แผนที่สงครามครูเสด
แผนที่สงครามครูเสด  ค.ศ. 1096 - 1204
สงครามครูเสด ครั้งที่ 4  การสู้รบไม่ได้ยืดเยื้อและยุโรปได้ประกาศสงครามครูเสด ครั้งที่ 4 (คริสต์ศักราช 1202-1204) เพื่อจ่ายเงินให้กับพ่อค้าชาวอิตาลีที่ลำเลียงพวกเขาไป นักรบครูเสดชาวแซกซันได้ตกลงกันที่จะโจมตีเมืองซารา (Zara) แห่งจักรวรรดิไบเซนไทน์ ครั้นแล้ว พวกนักรบแซกซันก็ขับไล่คอนสแตนติห็เป็นพันธมิตรทางการเมืองในความดูแลของจักรวรรดิไบเซนไทน์ สมเด็จพระสันตะปาปาโกรธพวกนักบที่โจมตีเมืองที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่พระองค์ก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้ การโจมตีทำให้จักรวรรดิไบเซนไทน์อ่อนแอเป็นอันมาก

ผลกระทบจากสงครามครูเสด  การติดต่อกับวัฒนธรรมจากเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกของยุโรปได้วิวัฒนาการขึ้นในช่วงสงครามครูเสด พวกนักรบแซกซันได้นำสินค้าของชาวเอเชียกลับไป ส่งผลให้การค้าเจริญเติบโตขึ้น  สินค้าเหล่านี้ มีเครื่องเทศ ขนสัตว์ ผ้า อ้อย ข้าวและผลไม้ต่าง ๆ การค้าขายที่เจริญเติบโตขึ้นข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้ช่วยเมืองหลายเมืองของยุโรปพัฒนาขึ้นและสร้างบทบาทของพ่อค้าในเมืองให้สำคัญมากขึ้น
สิ่งที่หลงเหลือจากสงครามครูเสดอีกประการหนึ่งคือการที่ชาวคริสต์เป็นปรปักษ์ต่อชาวยิวมากขึ้น ชาวคริสต์มองเห็นผู้ที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ทั้งหมดเป็นศัตรูของพวกเขามากขึ้น ๆ  บนทางไปยังปาเลสไตน์ของพวกเขา พวกนักรบแซกซันบางพวกได้สังหารหมู่ชาวยิวในยุโรป การฆ่ายังคงดำเนินอยู่ในปาเลสไตน์ หลังจากสิ้นสุดสงครามครูเสด ชาวยิวถูกขับออกจากประเทศอังกฤษในคริสต์ศักราช 1290 และจากฝรั่งเศสในคริสต์ศักราช 1306 และอีกครั้งในคริสต์ศักราช 1394 พวกยิวเหล่านี้เป็นจำนวนมากได้อพยพไปยังยุโรปตะวันออก
อย่างก็ตาม ชาวมุสลิมก็อนุญาตให้ชาวยิวและชาวคริสต์อาศัยด้วยความสงบในหลายกรณีเป็นส่วนใหญ่ นักรบแซกซันจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ก็ให้ควมเคารพชาวมุสลิม แต่การขาดความอดทนของชาวคริสต์ที่มีต่อชาวยิวยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
แผนที่เรกองกิสตา
แผนที่เรกองกิสตา ค.ศ. 1000 - 1492
เรกองกิสตา (The Reconquista) ผู้นำมุสลิมได้ขับไล่นักรบแซ็กซันออกจากปาเลสไตน์ แต่ในสเปนเกิดขึ้นตรงกันข้าม ที่นี่เป็นกองทัพชาวคริสต์ที่ขับไล่เหล่าผู้ปกครองชาวมุสลิมออกไป เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันในภาษาสเปน ว่า รีกองกิสตา (reh•kawn•KEES• tah)
ชาวมุสลิมพิชิตคาบสมุทรไอบีเรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศสเปนและโปรตุเกสในปัจจุบัน ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ อย่างไรก็ตาม ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 ความสามัคคีของชาวมุสลิมบนคาบสมุทรพังพินาศลง อาณาจักรสเปนและโปรตุเกสจึงลุกขึ้นพิชิตกองกำลังมุสลิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 กษัตริย์เฟอร์ดินานด์และพระราชินีอิซาเบลลา (King Ferdinand and Queen Isabella) ได้รวบรวมสเปนปึกแผ่นด้วยอำนาจทางทหารและทางศาสนา กองทัพของทั้งสองพระองค์ได้ยึดเมืองได้หลายเมืองและเจ้าหน้าที่ของคริสตจักรของพระองค์ได้ใช้ศาลลงโทษคนไม่เห็นด้วยกับคำสอนของคริสตจักร ศาลนี้ ได้ถูกนำมาใช้ทั่วทวีปยุโรป เรียกว่า ศาลไต่สวนศรัทธา(Inquisition) ศาลไต่สวนศรัทธา ได้สืบสวนทรมานและประหารชีวิตชาวยิวและชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากในสเปนและโปรตุเกส ในคริสต์ศักราช 1492 กษัตริย์เฟอร์ดินานด์และราชินีอิซาเบลลา ได้ทำเรกองกิสตาจนเสร็จสมบูรณ์ด้วยการบังคับให้ผู้ปกครองชาวมุสลิมพวกสุดท้ายและพรรคพวกของพวกเขาให้ออกไป ชาวยิวเป็นจำนวนมากก็ถูกบังคับให้ออกไปเช่นกัน
อาลัมบรา
พระราชวังที่สร้างเป็นป้อมปราการ มองข้ามจากเมืองกรานาดาในสเปน
เมืองอาลัมบรา เป็นที่ประทับสำหรับผู้ปกครองมุสลิมองค์สุดท้ายในสเปน

โรคระบาดกับสงครามร้อยปี

โรคระบาด

          ก่อนสิ้นศตวรรษ โรคระบาดได้ฆ่าผู้คนในยุโรป แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตกหลายสิบล้านคน ในยุโรป ประชากรทั้งหมดประมาณหนึ่งในสามได้เสียชีวิต
การระบาดของโรค  โรคระบาดที่โจมตีทวีปยูเรเซีย (คือทวีปยุโรปและทวีปเอเชีย) ตะวันตก ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 คือ กาฬโรค ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของมัน จะมีอาการหนาวสั่น ไข้ ชักและอาเจียนอย่างรุนแรง ผู้ประสบภัยยังมีจุดด่างดำเกิดขึ้นบนผิวหนังและมีต่อมปูดขึ้น  ผู้คนที่เป็นโรคกาฬโรคมักจะตายภายในไม่กี่วัน โรคระบาดในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ยังเป็นที่รู้จักกันว่า Black Death
โรคระบาด
โรคระบาด เป็นโรคชนิดหนึ่งมีจุดดำบนผิวหนัง ภาพวาดนี้ วาดขึ้นในยุคเกิดโรคระบาด
--------------------------------

การแพร่กระจายของโรคระบาด

แผนที่การแพร่กระจายของโรคระบาด
แผนที่การแพร่กระจายของโรคระบาด
          นักวิชาการเชื่อว่าโรคระบาดแพร่กระจายจากเอเชียกลาง โดยแพร่กระจายมาทางบกไปตามเส้นทางการค้าจากเอเชียไปยังยุโรป นอกจากนี้ยังแพร่กระจายตามเส้นทางทะเล ในเดือนตุลาคม คริสต์ศักราช 1347 เรือค้าขายได้นำโรคไปยังอิตาลี ครั้นแล้ว โรคระบาดไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว ในฤดูใบไม้ผลิต่อมา โรคระบาดได้แพร่กระจายไปยังฝรั่งเศสและเยอรมนี และไปไกลถึงตอนเหนือของอังกฤษ
1. โรคระบาดอาจจะแพร่กระจายจากเอเชียกลาง แต่ไม่สามารถจะทราบได้อย่างชัดเจน
2. หนูเป็นพาหะนำหมัดที่ติดเชื้อเดินทางพร้อมกับพ่อค้าตามเส้นทางการค้า
3.  พ่อค้าชาวอิตาลีนำโรคระบาดไปยังยุโรปโดยไม่รู้ตัว
----------------------------
ผลกระทบจากโรคระบาด  การสูญเสียครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากโรคระบาดมีผลกระทบสำคัญต่อเอเชีย แอฟริกาเหนือและยุโรป ชาวคริสต์และชาวมุสลิมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อโรคระบาดที่แตกต่างกัน  ชาวคริสต์มักจะมองโรคระบาดเป็นการลงโทษบาป โดยการเปรียบเทียบกัน ชาวมุสลิมมองโรคระบาดเป็นการทดสอบความศรัทธาของตนในพระเจ้า โรคระบาดได้ฆ่าผู้คน 20 ถึง 30 ล้านคน โดยไม่คำนึงถึงศรัทธาของพวกเขา ประมาณคริสต์ศักราช 1400
ในช่วงเวลาสั้น ๆ สงครามได้หยุดลงและการค้าปรับตัวลดลง เจ้าของที่ดินบางพวกเกิดความวิบัติย่อยยับเพราะการขาดแคลนแรงงาน อย่างไรก็ตาม ข้อนี้เป็นผลให้มีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสำหรับบางคนตามมา ตัวอย่างเช่น แรงงานยุโรปหายากมากจนกระทั่งผู้ที่สามารถจะทำงานได้จะเรียกร้องค่าใช้จ่ายสูงขึ้นสำหรับแรงงานของพวกเขา การขาดแคลนแรงงานและค่าจ้างสูงขึ้นทำให้ระบบศักดินาอ่อนแอลง เพราะคนงานเริ่มที่จะย้ายไปค้นหาค่าจ้างที่สูงกว่า
ในยุโรป ความเป็นปรปักษ์ต่อชาวยิวที่ขยายขึ้นในช่วงสงครามครูเสด ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่เกิดกาฬโรค ชาวยิวมักจะถูกกล่าวหาว่าก่อให้เกิดโรคระบาดด้วยการวางยาพิษบ่อน้ำ พวกเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองหลายเมืองในเยอรมันในช่วงที่เกิดโรคระบาด

สงครามร้อยปี
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 อังกฤษและฝรั่งเศสไม่เพียงเผชิญกับโรคระบาดเท่านั้น แต่ยังเผชิญกับสงครามบ่อย ๆ เช่นกัน ระหว่างคริสต์ศักราช 1337 และ 1453  อังกฤษและฝรั่งเศสต่อสู้กันในสงครามร้อยปี (Hundred Years’ War) จริง ๆ แล้วสงครามเกิดเป็นช่วง ๆ ไม่ใช่ต่อสู้ครั้งเดียวอย่างต่อเนื่อง

เบื้องหลังสงคราม  ดยุควิลเลียมแห่งนอร์มังดี (Normandy) จากภูมิภาคนอร์แมนของฝรั่งเศส อ้างว่าเป็นพระมหากษัตริย์โดยชอบธรรมของอังกฤษ ในคริสต์ศักราช 1066 ดยุควิลเลียมได้ยึดอังกฤษในสิ่งที่เรียกว่าการรุกรานของนอร์แมน พระองค์เป็นที่รู้จักกันว่า วิลเลียมผู้พิชิต และได้เชื่อมสัมพันธ์ขุนนางของฝรั่งเศสกับขุนนางของอังกฤษ ผ่านมาเป็นปี ความตึงเครียดได้เข้าครอบงำผู้ที่มีสิทธิในการปกครองภูมิภาคแต่ละภูมิภาค

หลายปีแห่งการทำสงคราม  ความตึงเครียดเหล่านั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13  อังกฤษอ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนในตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสก็สนับสนุนสกอตแลนด์ให้ต่อสู้กับอังกฤษ นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายเกี่ยวกับสิทธิในการเดินทางทางทะเลในช่องแคบอังกฤษ การต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสพยายามที่จะยึดดินแดนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่อังกฤษอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ กษัตริย์อังกฤษตอบโต้ด้วยการอ้างว่าเขาเป็นราชาแห่งฝรั่งเศสโดยชอบธรรม ในคริสต์ศักราช 1337  อังกฤษจึงโจมตีฝรั่งเศส
ในช่วงแรก อังกฤษมีชัยชนะหลายครั้ง  ในคริสต์ศักราช 1428 อังกฤษได้โจมตีเมืองออร์เลอ็อง (Orléans) ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของฝรั่งเศสแห่งสุดท้าย เด็กหญิงชาวนาฝรั่งเศสคนหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันในนาม โยนออฟอาร์ (Joan of Arc – วีรสตรีเหล็กหัวใจทมิฬ) ได้นำฝรั่งเศสไปสู่ชัยชนะ ประมาณคริสต์ศักราช 1453 ฝรั่งเศสได้ขับไล่อังกฤษออกจากฝรั่งเศสและยุติสงคราม
----------------------------------

โยนออฟอาร์ก หรือ ฌาน ดาร์ก

(Joan fo Arc or Jeanne d'Arc)  

(มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1412 – 1431)

โยน ออฟ อาร์ก
ภาพวาดโยนออฟอาร์ก
           โยนออฟอาร์กเกิดเป็นชาวนาในดงเรมี (Domrémy) ฝรั่งเศส ประมาณคริสต์ศักราช 1412 เธอเป็นคาทอลิกที่มีศรัทธาแน่วแน่ เมื่ออายุ 13 ปี เธอเชื่อว่าวิสัยทัศน์ทางศาสนากระตุ้นให้เธอต่อสู้อังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี ในคริสต์ศักราช 1429 เธอได้โน้มน้าวใจพระเจ้าชาร์ลส์ ทายาทบัลลังก์แห่งฝรั่งเศส ว่าวิสัยทัศน์ของเธอเป็นของพระเจ้า พระเจ้าชาร์ลส์ได้สร้างให้เธอเป็นอัศวิน ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1429 โยนได้นำฝรั่งเศสไปสู่ชัยชนะในการสู้รบกับอังกฤษที่ออร์เลอ็อง
หนึ่งปีต่อมา โยนก็ถูกจับโดยพันธมิตรของอังกฤษ เธอถูกประหารชีวิตในที่สุด ใน ค.ศ. 1431 เธอกลายเป็นวีรสตรีระดับชาติในฝรั่งเศสและได้รับการประกาศเป็นนักบุญโดยคริสตจักรคาทอลิกในปี ค.ศ. 1920
----------------------------------
อาวุธชนิดใหม่  อาวุธชนิดใหม่ได้เปลี่ยนแปลงสงครามในทวีปยุโรปและทั่วโลก คันธนูขนาดใหญ่ได้ยิงลูกธนูที่มีพลังมากพอที่จะเจาะเสื้อเกราะของอัศวิน  ยุโรปยังใช้ประโยชน์จากอาวุธดินปืนชนิดใหม่ เทคโนโลยีดินปืนมาจากประเทศจีน แต่ยุโรปได้พัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นเครื่องมือที่สำคัญของสงคราม ยกตัวอย่างเช่น ปืนไฟขนาดใหญ่สามารถทำลายกำแพงปราสาทลงได้และวิ่งผ่านเกราะของอัศวินได้ อาวุธชนิดใหม่เหล่านี้สามารถเอาชนะอัศวินได้อย่างง่ายดาย กว่า 300 ปีถัดมา ธรรมชาติของสงครามได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

ยุโรปสมัยใหม่ตอนต้นปรากฏตัวขึ้น

ป็นเวลาหลายศตวรรษ  สังคมยุโรปเป็นอันมากดำเนินตามโครงสร้างระบบศักดินา อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ระบบศักดินาของยุโรปได้ล่มสลายลงและส่งสัญญาณการสิ้นสุดของยุคกลาง

โครงสร้างทางสังคมและการเมือง  การค้าขายของยุโรปได้ขยายตัวตลอดยุคกลาง  จำนวนและขนาดของเมืองได้ขยายตัวไปด้วย ในขณะที่ผู้คนก็อพยพออกมาจากชนบทเพื่อจะแสวงหาโชคลาภของพวกเขา นี้เป็นความจริงแม้ว่าประชากรยุโรปโดยรวมจะใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัวจากโรคระบาด สงครามร้อยปี และสงครามอื่น ๆ
หลายเมืองต้องการความมั่นคงในการทำธุรกิจและการค้าให้น่าเชื่อถือมากขึ้น พ่อค้าผู้มั่งคั่งได้เพิ่มอำนาจทางการเมืองท้องถิ่นของตนขึ้นเรื่อย ๆ พระมหากษัตริย์ของยุโรปยังสนพระทัยพ่อค้าผู้ร่ำรวย นายธนาคารและพ่อค้า ในฐานะเป็นแหล่งที่มาของเงินสดที่เข้มแข็งที่สุดของพวกเขาผ่านการเก็บภาษีและเงินกู้ยืม  พระมหากษัตริย์ที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีได้บังคับใช้กฎหมายและความสงบเรียบร้อย โดยการจัดการความมั่นคงให้กับเมืองหลายเมือง เป็นผลให้เมืองหลายเมืองกลายเป็นศูนย์กลางการสนับสนุนกษัตริย์และในทางกลับกันกษัตริย์ก็ขยายอำนาจของตน
กษัตริย์มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นหลังจากสงครามร้อยปี  ยกตัวอย่างเช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ของฝรั่งเศสไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิของอังกฤษในราชบัลลังก์ของพวกเขา พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (ค.ศ. 1643-1715) ของฝรั่งเศสกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจของพระมหากษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  คือ พระมหากษัตริย์หรือพระราชินีที่มีอำนาจไม่จำกัดและควบคุมทุกแง่มุมของสังคม ด้วยความช่วยเหลือจากองคมนตรีที่มีฝีมือ พระเจ้าหลุยส์จะได้ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป
ตลาดสมัยยุคกลาง
ภาพวาดนี้ คือ ร้านค้าในหมู่บ้านในประเทศฝรั่งเสศส แสดงถึงการดำเนินธุรกิจประจำวัน
ภาพนี้วาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14
แนวความคิดใหม่ ๆ  สำหรับความคิดเห็นของนักประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก จุดสิ้นสุดของยุคกลางเริ่มต้นขึ้นด้วยการพัฒนาของประเทศขนาดใหญ่ที่มีรัฐบาลกลางทรงประสิทธิภาพบริหารราชการโดยพระมหากษัตริย์ ในขณะที่ยุคกลางมาถึงจุดจบ นักวิชาการก็ยังศึกษาตำราคลาสสิกอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยนักวิชาการผู้ชาย เช่นโทมัส อไควนัส (Thomas Aquinas)  ความคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และศิลปะ ได้พัฒนาในเมืองหลายเมืองของอิตาลี ความคิดใหม่ ๆ ได้แพร่กระจายไปตามเส้นทางการค้าขายในยุโรป ยุคใหม่นี้ เรียกว่า สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)
สงครามร้อยปี
ภาพวาดสงครามร้อยปี  วาดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14
ในภาพมีการใช้ปื่นใหญ่และคันธนูขนาดใหญ่

จุดเริ่มต้นของการปกครองสมัยใหม่

การปกครองของอังกฤษ

ในยุคกลาง อำนาจตามกฎหมายในประเทศอังกฤษเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจากระบบพระมหากษัตริย์ แนวความคิดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นรากฐานของการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายสมัยใหม่เป็นจำนวนมาก
ตราประจำตระกูลของพระเจ้าจอห์น
นี้เป็นตราประจำตระกูลของพระเจ้าจอห์นก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์
ตราประจำตระกูลเป็นชุดของสัญลักษณ์บ่งบอกตระกูลและปัจเจกบุคคล
กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law)  พระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 (King Henry II - ค.ศ. 1154-1189) ได้นำความมั่นคงไปสู่ระบบกฎหมายของอังกฤษ โดยการส่งผู้พิพากษาในราชสำนักไปยังทุกส่วนของประเทศ ก่อนหน้านี้กฎหมายก็ขึ้นอยู่กับประเพณีท้องถิ่นและศาลชี้ขาดสมัยก่อน กฎหมายนี้ถูกเรียกว่า กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) นั่นหมายความว่า การตัดสินในส่วนหนึ่งของอังกฤษอาจจะแตกต่างจากส่วนอื่น ๆ  อย่างไรก็ตาม การตัดสินของผู้พิพากษาในราชสำนักแบบใหม่ ตั้งใจที่จะนำไปใช้กับทุกส่วนของประเทศอังกฤษ กฎมณเฑียรบาลมีแนวโน้มว่าจะทำให้ประชาชนทั่วอังกฤษได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคกันมากขึ้น

ศาลอิสระ 

(Independent Courts – หาคำแปลไม่พบ ผู้รู้โปรดแนะนำ)

          ผู้พิพากษาในราชสำนักมุ่งที่จะเป็นอิสระจากการเมืองท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เป็นอิสระจากรัฐบาลพระราช ศาลยุคกลางของอังกฤษแตกต่างจากศาลในปัจจุบันนี้มาก ตัวอย่างเช่น ศาลของสหรัฐมีความเป็นอิสระจากส่วนอื่น ๆ ทุกส่วนของรัฐบาล นี้เรียกว่าตุลาการอิสระ
พระเจ้าจอห์น
ในภาพนี้ พระเจ้าจอหน์กำลังลงนามในมหากฎบัตร เมื่อประมาณ 800 ปีที่ผ่านมา
เอกสารนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อการปกครองในปัจจุบันนี้
มหากฎบัตร (Magna Carta) ในคริสต์ศักราช 1199 บุตรคนสุดท้องในบรรดาบุตรทั้งหลายของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 ชื่อ จอห์น ได้ขึ้นครองอำนาจ พระเจ้าจอห์นได้สู้รบและพ่ายแพ้สงครามเป็นอันมาก สงครามให้อังกฤษอ่อนแอทางการเงิน บารอน (barons) หลายท่าน ซึ่งเป็นสมาชิกของขุนนางอังกฤษไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพระเจ้าจอห์น พวกเขาจึงบอกพระเจ้าจอห์นให้ตระหนักถึงสิทธิของพวกเขา พวกเขาแสดงสิทธิดังกล่าวในเอกสารที่เรียกว่า มหากฎบัตร และบังคับให้พระเจ้าจอห์นลงนามในคริสต์ศักราช 1215
มหากฎบัตรรับประกันการคุ้มครองกฎหมายและการพิจารณาคดีโดยคณะลูกขุน ยังรับประกันว่ากษัตริย์ไม่สามารถเก็บเงินจากขุนนางโดยการอนุมัติของพวกเขา อย่างไรก็ตาม คนธรรมดาสามัญชาวอังกฤษไม่ได้รับประโยชน์จากมหากฎบัตรโดยทันที อย่างไรก็ตาม มหากฎบัตรก็เป็นตัวอย่างสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะต่อมาในอังกฤษและทั่วโลก
หมายเหตุมหากฎบัตร (ดูภาพ) ได้ถูกร่างขึ้นครั้งแรกในคริสต์ศักราช 1215 แนวความคิดบางอย่างสามารถหาดูได้จากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อ 575 มาแล้ว

สถาบันที่เป็นแบบฉบับ

          นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่าการปฏิบัติทางการเมืองของอังกฤษในยุคกลางเป็นรากฐานของการปกครองแบบตัวแทนสมัยใหม่ แต่การเกิดขึ้นของอำนาจของรัฐสภาล่าช้าและได้มาด้วยความยากลำบาก

สภาสำหรับการปกครองแบบใหม่ ขั้นตอนที่สำคัญเกี่ยวกับการปกครองแบบตัวแทนเกิดขึ้นในคริสต์ศักราช 1264 ขุนนางอังกฤษได้ถอดถอนพระเจ้าเฮนรี่ที่ 3 จากบัลลังก์หลังจากที่พระองค์เลิกสัญญากับพวกเขา พวกเขาให้กลุ่มผู้แทนซึ่งต่อมาเรียกว่ารัฐสภาปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์ รัฐสภาประกอบด้วยขุนนาง เจ้าหน้าที่คริสตจักรระดับสูงและผู้แทนจากเมืองใหญ่และเมืองเล็ก
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 (Edward I) บุตรชายของพระเจ้าเฮนรีได้ยึดบัลลังก์คืนในคริสต์ศักราช 1265 แต่พระองค์ก็ไม่ได้กำจัดรัฐสภาเพราะพระองค์ต้องการการสนับสนุนทางการเมือง ในคริสต์ศักราช 1295 รัฐสภาเป็นที่ประชาชนมาชุมนุกันซึ่งเป็นการยอมรับกันอย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกว่าเป็นรัฐสภาแบบตัวแทนอย่างแท้จริง เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นรัฐสภาที่เป็นแบบอย่าง ผู้แทนจากทุกมณฑล ตำบลและเมืองมาชุมนุมกัน พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดได้เรียกหารัฐสภาตลอดรัชสมัยของพระองค์ อย่างไรก็ตาม แม้ในตอนท้ายของการครองราชย์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดในคริสต์ศักราช 1307 อำนาจของรัฐสภาก็ยังคงไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง
รัฐสภาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1
หนังสือหน้านี้จากต้นฉบับในคริสต์ศตวรรษที่ 14
ในภาพ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 กำลังกำกับดูแลรัฐสภาพแบบใหม่ของพระองค์
อำนาจของรัฐสภา  รัฐสภาก่อรูปขึ้นเป็นสองสภาหรือฝ่ายในการปกครองประเทศ คือ สภาสามัญชน (House of Commons) และสภาขุนนาง (House of Lords) ในที่สุด รัฐสภาก็จะควบคุมการเก็บภาษี ผลที่ตามมามันจะจำกัดอำนาจของระบอบพระมหากษัตริย์ของอังกฤษ ในที่สุด รัฐสภายังสามารถแนะนำและผ่านกฎหมาย พระมหากษัตริย์ไม่สามารถประกาศใช้กฎหมายใหม่ได้โดยปราศจากการอนุมัติของรัฐสภา
อำนาจของรัฐสภาค่อย ๆ เจริญขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวข้างต้นใช้เวลานานหลายศตวรรษในการพัฒนา แม้ศึกสงครามก็ต่อสู้เพื่อคำถามของผู้มีอำนาจของรัฐสภา แต่การปฏิบัติทางกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญของอังกฤษยุคกลางจะเป็นแนวทางให้กับนักคิดทางการเมืองในภายหลัง

การก่อกำเนิดของความคิดแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่

          ตุลาการอิสระ สิทธิของประชาชนและรูปแบบของประชาธิปไตยของการปกครองไม่ได้อยู่ในยุคกลางของอังกฤษในขณะที่เรารู้จักอยู่ในทุกวันนี้ เช่น การพัฒนาของรัฐสภา การเจริญเติบโตของความคิดและสถาบันเหล่านี้จะต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ ในระหว่างการพัฒนาระบบเหล่านี้ การปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญของอังกฤษยุคกลางมักจะกลายเป็นแนวทางเสมอ ๆ

ตุลาการอิสระ  ตุลาการอิสระมีการพัฒนาการไปทั่วโลก ในหลายประเทศ ศาลมีอิสระจากสาขาอื่น ๆ ของการปกครองและสามารถตรวจสอบว่ามีความสมดุลของอำนาจ ตัวอย่างเช่น ศาลสามารถป้องกันรัฐบาลไม่ให้ผ่านกฎหมายที่ละเมิดสิทธิของประชาชน
      สิทธิตามกฎหมายอย่างหนึ่งอาจจะเริ่มต้นในอังกฤษยุคกลางคือหมายศาลที่เรียกตัวบุคคลให้มาปรากฏต่อหน้าผู้พิพากษาหรือศาล  (habeas corpus) สิทธิข้อนี้ป้องกันไม่ให้รัฐบาลสั่งจำคุกประชาชนโดยไม่มีสาเหตุ ทุกวันนี้ หมายศาลต้องมีตัวเจ้าหน้าที่แสดงหลักฐานทางกฎหมายเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้บุคคลถูกจำคุก
สิทธิซึ่งระบุไว้ในมหากฎบัตรมีผลกระทบขุนนางอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ต่อมานักการเมืองได้ขยายการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ขุนนางชั้นบารอนกล่าวว่าพระเจ้าจอห์นต้องปรึกษาพวกเขาเมื่อพระองค์ต้องการเงิน หลายศตวรรษต่อมารัฐสภาอังกฤษที่ถกเถียงกันว่าข้อนี้หมายความว่ากษัตริย์ไม่สามารถขอภาษีโดยไม่มีข้อตกลงของรัฐสภา
รัฐสภาอังกฤษ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซษเบธที่ 2 (ประทับนั่งที่ด้านซ้ายของภาพ)
 ยังคงเป็นประธานในรัฐสภาอังกฤษ
การปกครองแบบผู้แทน รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งโดยประชาชนเพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของพวกเขาคือรัฐบาลแบบผู้แทน การปกครองแบบผู้แทนที่พยายามจะรวมสมาชิกทุกคนในสังคมคือการพัฒนาค่อนข้างไม่นานมานี้  แต่การปกครองเหล่านั้นเป็นส่วนขยายทางตรรกะของระบบรัฐสภา  รัฐสภาเกิดขึ้นเพราะสมาชิกบางพวกของสังคมเรียกร้องให้รัฐบาลพูดวิธีการที่จะดำเนินการ
การลงคะแนนเลือกตั้งของสุภาพสตรี
สตรีในอเมริกาหย่อนบัตรเลือกตั้งเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1920
สตรีได้รับสิทธินี้เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 ในปีเดียวกัน
วิธีหลักที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาลของพวกเขาจะผ่านการลงคะแนนเสียง  การต่อสู้สำหรับสิทธิในการออกเสียงทั่วไปหรือการเข้าถึงการโหวตใช้มาหลายปีแล้ว คนอังกฤษส่วนใหญ่ไม่สามารถลงคะแนนให้กับสมาชิกรัฐสภาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 สำหรับผู้หญิง การเข้าถึงการลงคะแนนเสียงเป็นการยากอย่างยิ่ง ในสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้จนกระทั่งคริสต์ศักราช 1920 และชาวอเมริกาเชื้อสายแอฟริกันหลายคนถูกกีดกันไม่ให้ออกเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษที่1960

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น